หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

[ToB] Tales of the Light [3]

Tales of the Light [3]



(เหตุการณ์ในช่วงปิดเทอม ก่อนขึ้นชั้นปีที่ 2)

 
ตัวละครในตอนนี้:
รอสส์ เอวาริสเต ทหารรับจ้างแห่งแอเรียส [-]
โคร่า คราวลีย์ นักกายกรรมแห่งแอเรียส [-]

------




กาลครั้งหนึ่ง ท้องฟ้ายังมืดมิด...พระอาทิตย์ส่องสว่างเวลากลางวัน ส่วนกลางคืนนั้นมืดสนิทไม่มีแสงใด

ณ ทะเลสาบอันกว้างใหญ่ ยังมีเม็ดทราย

เม็ดทรายนั้นเล็กจ้อย มองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น อยู่รวมกันมากมาย จนแยกไม่ออกว่าแต่ละเม็ดเป็นอย่างไร บ้างก็ถูกลมพัดปลิวไป บ้างก็ถูกกลืนไปกับแผ่นดิน

เจ้าหญิงเม็ดทรายนั้นหลงรักดวงตะวัน

เธอชอบแสงสว่าง ชอบสีสันสดใสของผืนหญ้า สายน้ำ ท้องฟ้า หมู่มวลนกที่บินผ่านเบื้องบน ชอบเสียงร้องอันไพเราะของพวกนก และความอบอุ่น...เจ้าหญิงเม็ดทรายตัวน้อยชอบความมีชีวิตของเวลากลางวัน ซึ่งไม่ได้เกิดจากใครอื่นเลย นอกจากพระอาทิตย์นั้นเอง

ตรงข้าม...กลางคืนนั้นหนาวเหน็บ เงียบสงัด มืดมิด แห้งแล้ง และอ้างว้าง...มองไม่เห็นสิ่งใด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวตนของเธอยังมีอยู่จริงหรือไม่…

เม็ดทรายปรารถนา อยากให้พระอาทิตย์อยู่กับเธอตลอดเวลา ไม่ได้มาเพียงชั่วพริบตาแล้วลับจากฟ้าหายไป

แต่เพราะร่างกายนั้นเล็กจ้อย และไร้กำลังเหลือเกิน...จึงได้แต่เฝ้ามอง วันแล้ววันเล่า ที่พระอาทิตย์เลือนลางหายไปทุกราตรี

สายลมที่พัดผ่านเห็นดังนั้น นานวันก็สงสาร วันหนึ่งจึงบอกกับเม็ดทราย

...ท่านอยากไปที่อื่นไหม...ที่ซึ่งงดงามยิ่งนัก เป็นดังภาพสะท้อนของท้องฟ้า...ที่นั่น ท่านอาจได้พบกับพระอาทิตย์ตลอดกาล

ที่แห่งนั้นคือที่ใดกัน...เจ้าหญิงเม็ดทรายถาม

ทะเลสาบที่อยู่เคียงข้างท่านมาตลอดนั่นอย่างไร...สายลมตอบ...ยามกลางวัน พระอาทิตย์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอย่างไร บนผืนน้ำก็เป็นอย่างนั้น ภาพในกระจกน้ำ พระอาทิตย์ย่อมมองเห็น...ไม่เว้นแม้แต่เม็ดทราย

เช่นนั้นแล้ว ข้าต้องแลกด้วยสิ่งใด...เม็ดทรายครุ่นคิด ก่อนจะได้รับคำตอบจากสายลม

...แลกกับการที่ต้องไปจากผืนดินตลอดกาล…

------


เหนือฟากฟ้าแห่งมหานคร ดาราพร่างพรายถูกแทนที่ด้วยแสงสีละลานตาของดวงไฟหลายรูปแบบ ย้อมผืนฟ้ายามราตรีด้วยสีสันแห่งความรื่นเริงสุขสันต์ เสียงสนั่นจากดินพลุดังจนแผ่นดินสะเทือน สะเก็ดไฟระยิบระยับโปรยปรายร่วงหล่นลงช้าๆ จนดูเหมือนเทพเจ้าอำนวยพระพรจากสรวงสวรรค์มาสู่ดิน

เทียนไขเล่มน้อยวางลงบนลานกว้าง สานต่อสายโค้งของเทียนเล่มก่อนที่วางเรียงกัน ส่องสว่างวูบไหวในความมืด เงาของผู้เป็นเจ้าของเทียนนั่งอยู่เบื้องหลังแสงไฟ เป็นเด็กสาวร่างเล็กดูปราดเปรียวว่องไวที่เข้ามานั่งคุกเข่า รวบกระโปรงยาวให้ปิดบังเรียวขานั้น ริมฝีปากสีสดคลี่รอยยิ้มสดใส หลังจากเล่านิทานมาได้สักพักหนึ่ง

“เรื่องเป็นยังไงต่อล่ะ…” รอสส์เอ่ยถาม เขานั่งอยู่ในอีกแถวหนึ่งซึ่งตรงข้ามกัน สายตามองตรงอย่างสนใจระคนสงสัย

โคร่านิ่งคิดไปนิดหนึ่ง นัยน์ตาคู่สวยสบตากับผู้คนรอบตัวที่เร่งเร้าจะให้เล่าต่อ พักหนึ่งจึงถาม

“ถ้าเปลี่ยนเป็นร้องเพลงแทนได้ไหมคะ พอดีว่าต้นฉบับนิทานเรื่องนี้ที่จริงมันเป็นเพลง”

“ก็ว่าเรื่องคุ้นๆ” ใครคนหนึ่งแถวนั้นทัก แล้วหัวเราะเบาๆ “เจ้าร้องสิ ข้าไม่ได้ฟังมานานแล้ว”

ครั้นมติจากทุกคนที่ร่วมล้อมวงเล่านิทานด้วยกันเป็นเอกฉันท์ เด็กสาวจึงเงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้าที่สว่างไสวราวกับกลางวัน และร้องเพลง

เป็นเสียงร้องแว่วหวานจับใจ

------

ในกาลเก่าโลกยังเยาว์แยกเป็นสอง
หนึ่งครอบครองท้องฟ้านภาใส
หนึ่งปกป้องผืนดินท้องถิ่นไกล
เฝ้าดูแลผู้อาศัยสงบมา

แดนเบื้องล่างมีเม็ดทรายพรายวิบวับ
วาวระยับด้วยสะท้อนต่อแผ่นฟ้า
เม็ดทรายน้อยคอยมองสุริยา
ผู้นำแสงส่องมาวิบวับวาว

มาวันหนึ่งเม็ดทรายวิงวอนฟ้า
โอ้นภาโปรดเมตตาคำโน้มน้าว
เจ้าหญิงทรายจึงได้พรกลายเป็นดาว
ขึ้นส่องฟ้าสกาวคู่ดวงจันทร์

แต่เจ้าหญิงตัวน้อยนั้นลืมคิด
ด้วยดวงจิตยังติดในความฝัน
ดวงดาราไม่อาจคู่ตะวัน
อยู่ขนานเคียงกันผ่านฟ้าไกล

ใจดวงน้อยเศร้าหมองระทมทุกข์
ไม่มีสุขดั่งฝันที่วาดไว้
เม็ดทรายน้อยจึงวิงวอนต่อฟ้าไป
ผู้เป็นใหญ่ขอท่านคืนร่างเรา

ท้องฟ้ากว้างมองดาวที่ร่ำร้อง
แสงมัวหมองทำฟ้านภาเศร้า
ฟ้าได้แต่ถอนใจก็ได้เอา
ขอส่งเจ้ากลับคืนยังผืนทราย

ดาวคืนถิ่นเป็นทรายพรายระยับ
วาววิบวับมองแสงอาทิตย์ฉาย
ไม่เป็นไรทรายน้อยแม้เดียวดาย
ยังคงมีสุขได้จากเฝ้ามอง

((แต่งโดย @lii_li_an / ผปค @ToB_Theodore ))

------

เสียงปรบมือรายล้อมรอบตัวหลังการแสดงย่อมๆได้จบลง สายตาที่มองนั้นคุ้นเคยเหลือเกิน เป็นบรรยากาศเก่าๆที่ทำให้มีความสุข

“ขอบคุณค่ะ” โคร่าค้อมศีรษะรอบตัว ส่งยิ้มโปรยให้อย่างน่ารัก มือรวบเส้นผมสีทองสว่างที่เคลื่อนร่วงลงให้ทัดใบหู วางมือลงกับหน้าตัก แล้วบอกคนที่นั่งตรงข้ามกัน “ตาเธอแล้ว”

รอสส์นิ่งไป คิ้วขมวดเข้าหากัน นัยน์ตาสีเขียวเทามองทุกคนรอบตัวอย่างลังเล “ถ้ามันออกมาเป็นโศกนาฏกรรม...เทพเจ้าจะโกรธไหมครับ”

สรรพเสียงเงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่หญิงวัยกลางคนที่เขาคุ้นว่าเป็นแม่ค้าอยู่แถวตลาดจะให้คำตอบ “เทพเจ้าแห่งแสงน่ะชอบเรื่องเล่า...อะไรที่ฟังแล้วสนุกท่านก็ชอบหมดแหละ” ว่าพลางก็หัวเราะเบาๆ “เพราะฉะนั้น เจ้าน่ะรีบๆเล่ามาเถอะ ก่อนจะเช้าเสียก่อน”

“ถ้างั้น…”

ทหารรับจ้างคิด รวบรวมเรื่องราวนิทานก่อนนอนที่เคยได้ฟังสมัยยังเด็กมากๆ ก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องของตนเอง

“กาลครั้งหนึ่ง…”

เปลวเทียนเล่มน้อยสว่างขึ้นในความมืด เรียงร้อยต่อเรื่องราว

------


มีพ่อมดคนหนึ่ง ครอบครองเวทมนตร์อันทรงพลัง เขาทำสัญญากับเจ้าหญิง และก็หลงรักเธอ

แต่เจ้าหญิงไม่อาจแต่งงานกับพ่อมด นางคือผู้ปกครอง ย่อมต้องแต่งงานไปปกครองอีกดินแดนหนึ่ง

อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าหญิงถูกจอมมารลักพาตัวไป มีแต่เส้นผมยาวสลวยของนางที่ถูกตัดขาดทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า

กษัตริย์จึงมีพระราชบัญชา ให้ออกตามหา

จอมมารนั้นอยู่ในปราสาทโบราณ พระองค์สั่งทหารให้ตามล่า ลอบเข้าไปในปราสาท แต่ก็ไร้ผล...นานวันผ่านไป จึงเรียกหาผู้กล้า สัญญาว่าจะตบรางวัลให้อย่างงาม กับใครก็ตามที่จะพานางกลับมา

มหานครตระเตรียมกองทัพ พร้อมทำสงคราม ปราบจอมมารผู้หมิ่นเกียรติแห่งแผ่นดิน

ครั้นแล้วพ่อมดก็อาสา รับหน้าที่ของผู้กล้านั้น

เขายืนอยู่หน้าประตูปราสาท ที่อีกฝั่งของประตูมีแมวดำตัวหนึ่งจ้องมองมา...พ่อมดรู้ได้ทันทีว่านั่นคือร่างแปลงของจอมเวท จึงแปลงร่างเป็นสุนัข ปีนต้นไม้ใกล้ๆ กระโดดข้ามรั้วไป

พลันแมวนั้นก็กลายร่างเป็นนก บินหนีขึ้นสูง สุนัขจึงเปลี่ยนร่างเป็นเหยี่ยว โฉบหลังนกนั้น

นกน้อยในกรงเล็บเหยี่ยวจึงกลายร่างเป็นแมลงริ้นไร หลุดรอดออกไป บินหนีตรงยังปราสาท

เหยี่ยวบินตามไป ที่หน้าต่างนั้นเขาเห็นชายคนหนึ่ง จึงลอบเกาะที่กรอบหน้าต่าง ชายผู้นั้นพูดเหมือนสั่งการคนผู้น้อยให้จัดทัพออกรบ น้ำเสียงแปร่งพร่า ซ้ำยังใช้เวทมนตร์ขู่ทำร้ายผู้ใต้บัญชาของตนที่ทำหน้าที่ได้ไม่ตรงกับใจ

เขาพบจอมมารแล้ว

จอมมารนั้นก้าวขึ้นบันได ไปยังยอดหอคอยสูง เหยี่ยวบินวนเวียนอยู่ด้านนอกจนถึงห้องซึ่งอยู่บนสุด หน้าต่างนั้นเปิดกว้าง มันจึงบินเข้าไป

พ่อมดกลายร่างกลับ หยุดยืนยังพื้นลานกว้างในห้องนั้น

เขาเผชิญหน้ากับจอมมาร...และก็พลันชะงักงันกับภาพที่ปรากฏ

จอมมารนั้น...แท้จริงแล้วไม่ใช่ชายใด

แต่เป็นเจ้าหญิงที่หายไปนั้นเอง

เจ้าหญิงร่ายเวทมนตร์ ปิดกั้นบานหน้าต่าง กางเขตอาคมอันแรงกล้า ปกป้องทุกเสียงและการกระทำภายในจากใครก็ตามที่อาจได้ยิน

นางบอกว่าบิดาของนางเป็นทรราช ทำให้แผ่นดินเดือดร้อน ผู้คนตกทุกข์ได้ยาก ต้องมีคนมาปราบ จึงตัดสินใจปลอมตัว และหนีมาบัญชากองทัพกบฏของตนเอง

แต่กษัตริย์ทรงรู้ทัน จึงสร้างเรื่องนี้ขึ้นมา ใช้ความชั่วร้ายของผู้ลักพาตัวเจ้าหญิงบังหน้า อ้างความชอบธรรมในการปราบปราม

...สร้างจอมมารจากความไม่มี เพื่อปราบศัตรูซึ่งเป็นพระธิดาของพระองค์...

พ่อมดจึงเข้าร่วมกับเจ้าหญิง ที่เป็นผู้นำกองทัพกบฏ ต่อสู้กับพระราชา เขาวางกับดักเวทมนตร์ไว้เป็นอันมาก จนทหารทั้งหมดไม่อาจเข้าถึงปราสาทได้ ไม่มีอาวุธใดกล้ำกรายผ่านกำแพงนั้นเข้ามาได้เลย

จนกระทั่งม้าของพระราชาเคลื่อนใกล้เข้ามา กำแพงเมืองที่กั้นอยู่ก็สลายไป...พริบตานั้น มันกลายเป็นกองทัพทหารกบฏติดอาวุธครบมือ พวกเขาต่อสู้กันอยู่สามวันสามคืน และท้ายที่สุด กองทัพกบฏที่เหนื่อยล้าน้อยกว่า ชำนาญพื้นที่กว่า และมากเล่ห์อาคม จึงเป็นฝ่ายชนะ

เจ้าหญิงปราบดาภิเษกกษัตริย์นั้นลง ขึ้นครองราชย์เป็นราชา นางสถาปนาพ่อมดขึ้นเป็นขุนนางระดับสูง แล้วสมรสกับเขา

และทั้งสองก็ปกครองแผ่นดินกันอย่างมีความสุข

------


“นี่มัน…” ชายคนที่นั่งรอเล่าเรื่องต่ออุทานขึ้น หลังเรื่องเล่าของทหารรับจ้างแห่งแอเรียสจบลง “...หักมุมมากๆ เจ้าหญิงกลายเป็นราชา อย่างกับเรื่องเล่าของอเมซอน”

เจ้าของเรื่องเล่าเหลือบมอง อมยิ้มที่ริมฝีปาก “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าเรื่องนี้มาจากที่ไหน…แค่เคยได้ยินมา”

“สนุกลุ้นระทึกเหลือเกิน เรื่องของเจ้า” หญิงวัยกลางคนที่เป็นแม่ค้าคนเดิมหัวเราะเสียงต่ำ “ก็ไม่เห็นจะเป็นโศกนาฏกรรมนี่...”

“โศกนาฏกรรมสำหรับราชาองค์นั้นไงล่ะครับ” รอสส์อธิบาย “สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่สมหวัง...ถึงตอนจบจะมีความสุขก็เถอะ”

โคร่ายิ้มกว้าง ขำน้อยๆ “เธอเล่าเรื่องเก่งเหมือนกันนะ…” นัยน์ตาสีอเมธิสต์คู่นั้นเป็นประกายวิบวับ สะท้อนแสงเทียนวูบไหวราวกับดวงดาว

เด็กหนุ่มยิ้มรับ ไม่ตอบอะไร เขานั่งขัดสมาธิ เท้าคางกับหน้าตัก เบือนหน้ามองชายหนุ่มอีกคนที่นั่งข้างตัว ซึ่งเอื้อมมือมาจุดเทียน ต่อแสงไฟให้ลุกโชนอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มต้นเล่านิทานเรื่องใหม่

...เทียนเล่มน้อยต่อกันเรียงราย สายธารของเรื่องเล่าขานไหลรินเชื่องช้า ราตรีเทศกาลแห่งแสงเคลื่อนคล้อยไป ตราบจนแสงรำไรของดวงตะวันพ้นขอบฟ้า...

ทั้งสองช่วยกันเก็บข้าวของที่ใช้ในงานเทศกาล ร่วมมือกับทุกคนที่มาเล่านิทานด้วยกัน ยิ้ม และหัวเราะ แม้จะง่วงจนต้องฝืนตาหาวเป็นระยะ ความรู้สึกในใจอบอุ่นท่ามกลางฤดูหนาว รู้สึกถึงการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน...ไม่ว่าเทพเจ้าแห่งแสงจะโปรดปรานหรือไม่ พวกเขาก็ได้มีความทรงจำดีๆร่วมกัน

ยามบ่าย ที่ร้านขนมแห่งหนึ่งกลางเมือง พวกเขานั่งจิบชา พักผ่อนดูภาพเมืองที่ประกอบกันจากความรุ่งเรืองหลายช่วงเวลา...เหมือนกับเรื่องราวที่เล่าต่อกันมาในค่ำคืนแห่งเทศกาล...ชิมขนมที่ประดิษฐ์อย่างงดงาม ละเมียดละไม พูดคุยถึงสิ่งต่างๆ ทั้งที่มีสาระ และทั้งที่ไม่ได้มีสาระอะไรเลย...ขอเพียงแค่ได้คุยกัน ทำให้บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองไม่เงียบงันจนเกินไป

ครั้นตะวันเคลื่อนคล้อย พวกเขาเดินทางมาถึงท่าน้ำใหญ่ที่ทอดไปในทะเลสาบ เรือหลากหลายรูปแบบจอดเทียบท่าอยู่แน่นขนัด อีกฝั่งหนึ่งนั้นไกลจนมองไม่เห็นจากสายตา ระยะเวลาในการเดินทางค่อนข้างนาน ทำให้เรือใหญ่ได้รับความนิยมมากกว่า เพราะทั้งสะดวกสบาย ปลอดภัย และเดินทางได้รวดเร็ว

โคร่านั่งอยู่ที่ริมตลิ่ง พูดคุยกับคนเดินทางไปมาอย่างร่าเริง ราวกับรู้จักทุกคนมาเนิ่นนาน ขณะที่รอสส์ปลีกตัวไปจัดหาซื้อบัตรจองที่นั่งบนเรือ...แม้เขาจะหายไปนานจนเด็กสาวเผลองีบหลับไปหลายครั้งก็ตาม

ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับบัตรสองใบ และห่อของบางอย่างในมือ

“อะไรน่ะ…” นัยน์ตาสีม่วงสวยหลุบลงมองห่อผ้ากำมะหยี่ ก่อนเงยหน้ามองร่างของอีกคนที่นั่งลงเคียงข้างกัน

รอสส์ยิ้มอ่อนโยน “เธอบอกว่าลมแรง ผมเสียทรงหมด...ก็เลยหาอะไรที่จะพอช่วยได้มาให้”

ว่าพลางมือนั้นก็เคลื่อนคลี่ห่อผ้าออกทีละน้อย

ปรากฏปิ่นปักผมจากทองคำ ประดับประดาทับทิมเม็ดงามสีแดงเข้ม กับพลอยสีขาว เรียงร้อยเป็นรูปดอกไม้ ทั้งเล็กและใหญ่ มีผีเสื้อสยายปีกงดงามอยู่เหนือมวลดอกไม้นั้น

โคร่ากล่าวขอบคุณ ยิ้มนิดหนึ่ง มีแววของความประหม่าอยู่เสี้ยววินาที...ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ เธอรวบผมขึ้น เอียงกายหันด้านหลังให้กับเขา

ปิ่นเรียวแหลมแทรกผ่านเรือนผมยาวสีสว่างจนดูกลืนกันไปกับทองคำ ยึดเอาไว้มั่น อัญมณีสีแดงสดสวยดูโดดเด่นขึ้นกว่าเมื่อมันอยู่ในห่อผ้า...แต่ไม่โดดเด่นเท่ากับดวงตาคู่นั้นที่สบตรงมา และรอยยิ้มอ่อนหวานอย่างที่ทำให้ลมหายใจของผู้มองต้องหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง

“สวย…” เป็นคำชมที่ทำให้ผู้ฟังไม่แน่ใจจุดหมาย “เหมาะกับเธอ”

“ขอบคุณที่ชม” โคร่าหัวเราะเสียงใส ก่อนลุกยืนขึ้น ยื่นมือตรงมายังเขา “ไปเดินเล่นแถวเรือกันไหม”

“ไปสิ”

รอสส์ตอบรับ หัวเราะเบาๆตาม คว้ามือนั้นไว้ แล้วก้าวเท้าไปตามกัน

------


ทะเลสาบใหญ่ของเวนอล อันเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง คือทะเลสาบดับดารา...ว่ากันว่าความงดงามนั้น แม้ดาราบนฟ้าก็ต้องยอมสยบ จึงได้ชื่อว่าดับดารา

เรือลำใหญ่เคลื่อนออกจากท่าอย่างเชื่องช้า สายลมพัดแรงเหนือพื้นที่โล่งดันให้ใบเรือแผ่กว้าง คลื่นน้ำซัดสาดเป็นระยะกับไม้ที่ท้องเรือ เบื้องหลังคือมหานครอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ และอีกฝั่งคือเมืองเล็กที่มีผู้คนหนาแน่น ด้วยแหล่งน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่ซึ่งไม่ติดทะเลมีไม่มากนัก ชีวิตของชาวเวนอลจึงผูกติดกับทะเลสาบอย่างแยกจากกันไม่ได้

ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี จากสีครามสดสวย กลายเป็นทองอร่าม ปนด้วยสีส้ม ยามที่พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลงจรดขอบฟ้า สะท้อนกับผืนน้ำสงบของทะเลสาบดับดารา เป็นภาพเงาของกันและกัน...ราวกับว่าท้องฟ้านั้นเองคือภาพสะท้อนของทะเลสาบแห่งมหานคร

เด็กหนุ่มร่างสูงนั่งอยู่ใกล้กราบเรือ สายตาทอดมองความงดงามของผืนฟ้าและผืนน้ำที่บรรจบกัน พลันก็เลื่อนมามองเสี้ยวหน้าของอีกคนที่อยู่เคียงข้าง...ใบหน้าสะสวย นัยน์ตาสีม่วงใส รอยยิ้มน้อยๆอย่างพึงใจ เรือนผมสีทองสว่าง และปิ่นปักผมประดับอัญมณีสีแดงสด

เผลอมองอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งแสงสว่างของตะวันเลือนลับไป ความมืดและหนาวเย็นเริ่มโรยตัว ดวงดาวเริ่มปรากฏเหนือฟากฟ้าสีน้ำเงินที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสีดำในไม่ช้า

"...เจ้าหญิงคนนั้น...ยังรอคอยพ่อมดอยู่ไหมนะ"

โคร่าเงยหน้ามองฟ้า ราวกับจะสอดส่ายสายตา มองหาว่าดาวดวงไหน คือเจ้าหญิงในนิทานที่เขาเล่า

รอสส์มองตามสายตานั้น ก่อนจะเคลื่อนกลับมา ยิ้มให้กับเด็กสาว “นานขนาดนั้นเธออาจจะขี้เกียจรอแล้วก็ได้ อาจจะมีคนอื่นบนท้องฟ้าที่เข้าใจเธอมากกว่า”

"จะมีอีกหรือ...คนที่ทุ่มเทให้ได้ถึงขนาดนั้น"

สายตาที่มองฟ้าค่อยละมามองผืนน้ำ แสงไฟระยิบระยับจากตัวเมืองรายล้อมสะท้อนเหนือผิวน้ำ ตะเกียงจากลำเรือทอแสงวูบไหวเหนือเกลียวคลื่นสีดำ

“คนเรามีหลากหลาย คนที่ทุ่มเทให้ได้อาจจะไม่ได้มีแค่คนเดียว” รอสส์พึมพำ “คงต้องขึ้นกับเจ้าหญิงด้วย ว่าในใจ พ่อมดคนนั้นสำคัญกับเธอแค่ไหน”

เด็กสาวฟังแล้วก็เบ้หน้า เธอเงยหน้ามองฟ้า คลี่ยิ้มนิดหนึ่ง พลันก็ยกมือขึ้นประสานกันตรงอก ราวกับจะอธิษฐาน

“...ขออะไรอยู่ในใจเหรอโคร่า” ทหารรับจ้างทัก น้ำเสียงติดจะขบขัน

โคร่าลดมือลง หันมาสบตากับเขา “ขอให้เจ้าหญิงยังคงนึกถึงพ่อมดคนนั้น ขอให้เธอรักเขาตอบ” ว่าแล้วก็หัวเราะเบาๆ ยิ้มนิดหนึ่งอย่างเขินๆ

“บางทีถ้าไม่รักอาจจะดีกว่าก็ได้นะ” รอสส์ยิ้มอย่างอ่อนโยน “อย่างน้อย...พ่อมดตายไปแล้ว เธออาจจะไม่ต้องเจ็บมากนัก”

“เคยได้ยินว่าคนตายแล้วจะกลายเป็นดวงดาว...บางทีพ่อมดอาจเป็นดาวสักดวงที่ส่องสว่างอยู่บนนั้น”

“แล้วถ้าดาวสองดวงมาเจอกันจะเป็นยังไงนะ…”

ริมฝีปากขยับ แต่คำตอบยังไม่ทันหลุดรอดออกมา ก็มีเสียงคนฮือฮาจากอีกฟากเรียกให้ต้องหันตามไป เด็กสาวเลื่อนสายตาขึ้นสูง เห็นแสงไฟสว่างจ้าจากดาวดวงน้อยที่เคลื่อนรวดเร็วลงมาจากฟากฟ้า ทิ้งละอองแสงไว้เป็นทางเบื้องหลัง นัยน์ตาสีอเมธิสต์เบิกกว้าง คว้าแขนคนข้างตัว “รอสส์!”

“อะไร…” เขาสังเกตเห็นสีหน้าของโคร่า ก่อนจะสังเกตเห็นดาวตกดวงนั้น “...โคร่า อธิษฐานเร็ว!”

เด็กสาวหลับตาลง อธิษฐานไปก่อนหน้าที่เขาจะบอก ไม่นานนักก็ลืมตา มองเสี้ยวแสงสว่างของดวงดาวนั้นลับจากสายตาไป “...ทันไหม”

รอสส์ค่อยลืมตาขึ้นช้าๆ กะพริบตาสองสามที ก่อนจะตอบ “น่าจะทัน...มั้งนะ ฉันค่อนข้างโลภมากเลยขอเยอะไปหน่อย”

เสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มทำให้โคร่าเลิกคิ้วมอง นึกสงสัยในใจ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป

“ถ้าขอเยอะดาวตกจะลำบากใจไหมนะ” เธอพูดติดจะขำ

“ไม่หรอก...เขาไม่ได้บอกนี่ว่าห้ามขอเกินกี่ข้อ” รอสส์เบือนหน้า ก้มลงมองเธอ ยิ้มอย่างมั่นใจ

“แล้วขอไปกี่ข้อ”

“ไม่บอก…” ทหารรับจ้างพูดจาลึกลับ รอยยิ้มมีเลศนัย “แต่ถ้าสมหวังก็คงจะดี”

สายตาคู่นั้นที่มองมาไม่เคยโกหกเธอได้เลยสักครั้ง

จะว่าไปก็นึกสงสัยว่าวิชาหน้ากากฟาโรห์ของเขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ

โคร่าหัวเราะสดใส "คุณดาวตกคงใจดี...เธอจะสมหวังแน่ๆ" รอยยิ้มงดงามประดับบนใบหน้า มองเด็กหนุ่มที่ยิ้มตอบด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน

“ฉันก็ว่างั้น…”

ดาวดวงหนึ่งเกิดขึ้นมา และลับหายไป

แต่คำอธิษฐานอันเกิดจากใจนั้นไม่ได้หายไปกับดวงดาว

เด็กสาวยิ้มกับตนเอง...ทั้งบนใบหน้าและภายในใจ...เฝ้ามองดวงดาวบนทะเลสาบที่สะท้อนกับผืนฟ้า ราวกับทั้งสองส่วนได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

ความงามของทะเลสาบดับดารา แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ที่ทะเลสาบเพียงอย่างเดียว...แต่อยู่ที่การเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เป็นภาพสะท้อนดังกระจกเงา ของความงามจากทะเลสาบและท้องฟ้า

เจ้าหญิงเม็ดทรายคงจะมีความสุขอยู่เหมือนกัน

------

[To be continued]

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

[ToB] Tales of the Light [2]

Tales of the Light [2]


(เหตุการณ์ในช่วงปิดเทอม ก่อนขึ้นชั้นปีที่ 2)


ตัวละครในตอนนี้:
รอสส์ เอวาริสเต ทหารรับจ้างแห่งแอเรียส [-]
โคร่า คราวลีย์ นักกายกรรมแห่งแอเรียส [-]

------


ร้านรวงละลานตาและสีสันสดใสเจิดจ้าทำให้มหานครแห่งเวนอลดูเปี่ยมไปด้วยความสุข ความเจริญรุ่งเรืองของศูนย์กลางแห่งจักรวรรดิคือสิ่งที่ผู้คนจากหลากหลายท้องถิ่นต่างเฝ้าฝันถึง คาราวานการค้าจำนวนมากหยุดพักเรียงรายรอบนอกเขตเมือง พาหนะหลากหลายชนิดตั้งแต่เดินเท้าไปจนถึงรถเทียมสัตว์วิเศษอันระบุเผ่าพันธุ์ไม่ได้เคลื่อนผ่านไปบนถนนกว้างนับสิบสาย ซึ่งล้วนมุ่งตรงสู่จุดศูนย์กลาง ราวกับเป็นรัศมีของดวงดาว

โคร่า คราวลีย์ ก้าวต่อเท้าบนอิฐแผ่นเดียวที่เรียงเป็นแนวริมขอบสะพาน ธารน้ำเย็นจัดไหลผ่านเบื้องล่างให้เรือพายเล็กสัญจรไปมา เงาของร่างเล็กนั้นทอดลงบนเกลียวคลื่น ก่อนจะหมุนตัว กระโดดลงจากกำแพงกั้น ทรงตัวบนเท้าเดียว แล้วหันมายิ้มอย่างงดงาม

รอสส์อมยิ้มขบขัน ไม่ว่าอะไรกับการละเล่นเสี่ยงอันตรายที่เธอทำอยู่บ่อยๆ ด้วยรู้ว่าฉายานักกายกรรมแห่งแอเรียสของเด็กสาวนั้นไม่ได้มาเปล่า ด้านความยืดหยุ่นว่องไวนั้นเปรียบกันแล้วตัวเขาคงเทียบไม่ติด

ลาเรเซียเป็นมหานครแห่งทะเลสาบ ขยับขยายจากเขตเมืองเก่า กว้างขวางออกโดยรอบ จึงมีคูคลองมากมายลัดเลาะใต้เมือง และลักษณะสถาปัตยกรรมอันประกอบจากหลายยุคสมัย เช่นเดียวกับสะพานใหญ่และรูปสลักอันบ่งบอกความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิผู้สรรค์สร้าง หินอ่อน ทองคำ สำริด แกรนิต ปูนปั้น หลากหลายวัสดุถูกนำมาใช้ประดับประดา ขึ้นอยู่กับความนิยมในสมัยนั้นๆ

ศิลปินจากหลากหลายท้องถิ่นจับจองพื้นที่ตั้งแต่เชิงสะพานใหญ่ เรื่อยไปจนจรดอีกฝั่งฟาก ซึ่งจะเข้าสู่พื้นที่อันเป็นเขตพระราชฐาน เงาของปราสาทราชวังทอดทับเหนือแผ่นน้ำที่ทอประกายกับแสงตะวันระยิบระยับ สะท้อนความงดงามราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน ภาพวาดจำนวนมากบนผืนผ้าใบและแผ่นกระดาษของเหล่าจิตรกรคือพระราชวังแห่งจักรวรรดินี้เอง

บทเพลงจากเครื่องเป่า เครื่องสาย และเสียงขับร้องประสานกัน เคล้าคลอกับเสียงพูดคุยของบรรดาคู่รักจากทั่วทั้งเอเดนที่เดินทางข้ามแผ่นดิน มาใช้เวลาร่วมกันในสถานที่อันงดงามเป็นที่หนึ่ง เรือยาวเคลื่อนออกจากท่าไปลำแล้วลำเล่า มุ่งสู่ฝั่งตรงข้ามของทะเลสาบดับดาราอันไกลลิบตา ให้ผู้โดยสารบนเรือได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่โดดเด่นเหนือกว่าใคร

บรรยากาศอันอบอุ่นหัวใจนั้นทำเอาเกือบจะหลงลืม ว่าขณะนี้เป็นกลางฤดูหนาว

เด็กหนุ่มยืนอยู่ที่กลางสะพานนั้น ใต้เงารูปหล่อสำริดของหนึ่งในแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ ทอดสายตามองออกไปไกล สู่ทิศเหนือ ที่ซึ่งทะเลสาบดับดารากั้นกลางไว้ สายลมเย็นพัดเรือนผมสีน้ำตาลเข้มให้เปียกชื้น ลู่ลงแนบกับข้างแก้ม เขาเท้าแขนกับราวกั้น ริมฝีปากมีรอยยิ้มบาง

รอสส์เคยผ่านมาในเมืองหลวงของเวนอลอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งเป็นเรื่องงาน เขาไม่เคยสวมชุดลำลองและปล่อยตัวตามสบาย มีแต่แต่งกายด้วยเกราะอ่อนและผ้าคลุมหนาหนักสีดำ ครึ่งหน้าปกปิดด้วยหมวกคลุมหรือผ้ากันลม ทำตามคำสั่ง เสร็จแล้วก็ล่วงเลยไป ไม่ได้พักอยู่นาน และไม่เคยได้มีโอกาสดื่มด่ำกับอะไร

ไม่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะมีคนข้างกายที่มาด้วยกัน

ไม่เคยคิดว่าใครคนนั้นจะอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ

มือแกร่งกำแน่น ก่อนเคลื่อนออกไปด้านข้างตน...เด็กสาวเงยหน้าขึ้นสูง มองใบหน้าที่ทั้งดุดันและเคร่งขรึมของอดีตนักรบผู้เหลือแต่รูปรำลึก มือบางแตะเบาที่ราวก่อปูน เรือนผมสีทองสว่างพลิ้วไปตามลม

“รอสส์”

“หืม?” ทหารรับจ้างมองคนเรียกชื่อตนอย่างสงสัย

โคร่ายิ้มกว้าง เอียงคอนิดหนึ่ง “เธอรู้ไหม...ทำไมรูปหล่อของนักรบถึงได้มาอยู่กลางสะพาน”

คิ้วบางเคลื่อนเข้าหากัน “...ไม่รู้สิ ทำไมเหรอ”

เด็กสาวหัวเราะ “เขาอาจจะเคยต่อสู้กับปีศาจสมัยก่อตั้งประเทศมาก่อนก็ได้...ถึงได้หันหน้าไปทางทิศตะวันตกไง จะได้เฝ้าดู ปกป้องเวนอลจากศัตรูตลอดไป”

“โอ้โห” เผลอหลุดอุทานขึ้นมา “ตายแล้วยังเหนื่อยแบบนี้น่าสงสารแย่เลยนะ”

ริมฝีปากสีสดนั้นยิ้มแบบกลั้นขำ “ถ้างั้นเธอคิดว่าทำไมล่ะ”

“นั่นสินะ…” ก้มหน้าลงนิดหนึ่ง ครุ่นคิดจริงจัง ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่ผุดขึ้นในห้วงความคิด “เขาอาจจะเคยเป็นแม่ทัพของเฮอร์นันเดซ แต่ทำความดีความชอบอะไรไว้กับลาเรนไนน์...ก็เลยหันมาทางทิศตะวันตก”

“ความดีความชอบอะไรล่ะแบบนั้น”

“อืม…” ยิ่งพูดยิ่งคิดหนัก “อาจจะ...ทรยศเฮอร์นันเดซเอาความลับของตระกูลมาเปิดเผยมั้ง ฝั่งลาเรนไนน์ถึงได้ยกย่องขั้นเอามาไว้บนสะพานนี้”

“ฟังดูไม่ค่อยน่าเคารพเท่าไหร่นะถ้าเป็นอย่างที่เธอเล่าจริงๆขึ้นมา”

โคร่าหลุดขำออกมา เท้าคางกับข้างสะพาน ก่อนหมุนตัวนั่งหมิ่นเหม่ลงกับขอบราบของราวปูน แกว่งขาไปมา กำไลข้อเท้ากระทบกันส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเบาๆ

“แล้ว…” เด็กสาวหลุบตาลงมองมือตนเองที่เกาะยึดไว้อย่างมั่นคง “เธอคิดว่า...ทำไมคนคนหนึ่งถึงสมควรถูกจารึกในประวัติศาสตร์ ทำไมใครบางคนถึงถูกจดจำ ในขณะที่บางคนก็ตายไป ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็นค่าเลย”

รอสส์เอียงพิงกับกำแพงเตี้ยนั้น สบตากับคนที่มาด้วยกัน แล้วครุ่นคิดอยู่นาน

ภาพของใครหลายคนปรากฏขึ้นในห้วงความคิด...และมีภาพของคนคนหนึ่งที่ดูเด่นชัดกว่าใคร เป็นคนที่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้เอ่ยนาม ผู้ถือสิทธิ์ขาดเหนือสัญญาของทหารทุกคนในกองทัพรับจ้างที่ยิ่งใหญ่เพียงพอจะถล่มเมืองเล็กๆได้ทั้งเมือง

“อาจจะ...เพราะเขาชนะล่ะมั้ง” เด็กหนุ่มอธิบาย น้ำเสียงดูราวกับพูดถึงคนที่ห่างไกลออกไป “ไม่ว่าจะชนะศึก ชนะใครสักคน หรือชนะใจประชาชน...เขาก็ต้องชนะ ถึงจะมีชื่อจารึกเอาไว้ได้”

โคร่ามองอย่างสนใจ แล้วเอ่ยท้วง “แต่คนแพ้บางคนก็มีชื่อเหมือนกันนะ...มีผู้ชนะ ก็ต้องมีผู้แพ้ ไม่งั้นเรื่องก็จะไม่สมบูรณ์”

“ก็ใช่อย่างที่เธอว่า” รอสส์ตอบรับ “คนแพ้ก็คงจะต้องมีไว้ ทำให้ฝ่ายที่ชนะดูดี ดูเก่ง เป็นคนดีมีอำนาจไง...ทั้งที่ความจริงอาจจะไม่ใช่แบบนั้นเลยก็ได้”

เด็กสาวพยักหน้ายิ้มๆ

“จะว่าไป...สงสัยจริงว่าตอนที่อัสซีเรียนแพ้นี่แพ้แบบไหน”

เรื่องราวเหล่านั้นจารึกไว้แต่ในตำราประวัติศาสตร์ แต่คำถามนั้นทำให้เขาพาลนึกไปถึงสายตา คำพูด และคำสั่ง…

คำสั่งมากมาย

คำสั่งที่เขายังทำไม่ได้

และต้องรอ ‘เวลา’

“อาจจะมีบางอย่าง...ที่คนที่ชนะอยากให้ไม่มีใครจำได้ ให้ทุกคนลืมไป…” รอสส์อธิบาย น้ำเสียงราบเรียบ “อย่างรูปสลักสามกษัตริย์นั้นก็ยังดูไม่ออกเลย”

พระราชวังอันงดงามแห่งเวนอลนั้นดูเปลี่ยนไปถนัดตา ความยิ่งใหญ่อันวิจิตรที่เห็นแต่ทีแรกกลับมีความรู้สึกบางอย่างเข้ามาแทรก…ความรู้สึกที่คุ้นเคยมาตลอดชีวิตในกองทหารรับจ้าง ความรู้สึกที่เขารู้จักดี...แต่ไม่รู้ชื่อเรียกว่าคืออย่างไร

“ถ้าเลือกได้…” เด็กสาวสบตากับเขา “อยากเป็นผู้ชนะที่ถูกจดจำบ้างไหม?”

เป็นคำถามที่เขาไม่เคยถามตนเองมาก่อน

“ที่จริง...ฉันเป็นทหารรับจ้าง” รอสส์เท้าแขนยันร่างให้ขึ้นนั่งเหนือราวหนาเคียงข้างกัน หันหน้ามาสบตา “...ไอ้เรื่องจะถูกจดจำหรือไม่จดจำน่ะไม่สนใจหรอก”

มุมปากคลี่ยิ้มอ่อนโยน หัวเราะเบาๆ

“ถ้าอยากจะอยู่รอดต่อไป ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องชนะเท่านั้นน่ะโคร่า…”

ประโยคเรียบง่ายสามัญธรรมดานี้เป็นสิ่งที่เขาใช้ย้ำเตือนใจมาตลอดชีวิต ทั้งในยามสุข ทุกข์ เศร้า สิ้นหวัง...ใช้ทั้งให้กำลังใจ และปลอบโยนตนเองเสมอมา

เพราะชีวิตของคนหนึ่งคนไม่ได้มีทางเลือกมากมายให้เดิน

และโลกก็ไม่ได้กว้างขวางมากพอจะมีพื้นที่ให้กับคนที่นั่งร้องไห้ฟูมฟายตัดพ้อชะตากรรม

“แบบรอสส์น่ะทำได้อยู่แล้ว” โคร่ายิ้มกว้าง ก่อนจะทิ้งตัวลงจากกรอบแนวปูน ก้าวตรงไปยังกลางสะพาน มือบางเสยเส้นผมสีสว่างที่ถูกลมพัดจนดูยุ่งเหยิงให้ทัดใบหูไว้ลวกๆ “เราแวะไปเดินตลาดกันไหม เผื่อจะมีอะไรน่าสนใจ เห็นพวกคาราวานเยอะแยะน่าจะมีอะไรแปลกๆเยอะเลย”

“ไปสิ” เด็กหนุ่มลุกขึ้น เดินตามเยื้องไป เฝ้ามองร่างบางจากเบื้องหลัง “เธออยากได้อะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”

“ไม่รู้สิ ถ้าเห็นแล้วคงนึกออกเองมั้ง” ว่าพลางก็หัวเราะน้อยๆ หันมายิ้มให้กับเขา “ที่เล็งไว้เป็นพิเศษก็พวกที่ติดผมแหละนะ...ลมมันแรง พัดไปพัดมาผมเสียทรงหมดแล้ว”

------


ความงาม คือสิ่งซึ่งอยู่คู่กับจักรวรรดิเวนอล

อัญมณี...คือหนึ่งในความงามอันเลื่องชื่อนั้น

ตลาดอัญมณีคือพื้นที่การค้าที่ทำรายได้มหาศาลให้กับประเทศ ซึ่งเติบโตร่วมกับธุรกิจการทำเครื่องประดับ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าจากทั่วทั้งเอเดนล้วนรวมตัวกัน แลกเปลี่ยนสินค้าจากต่างแดน โดยมีจุดหมายสำคัญอยู่ที่เพชรและพลอย ซึ่งมีมาตรฐานแบ่งเป็นหลายระดับ ตามความแข็งแรง ความใส และความสดสวยของสีสัน พลอยเวนอลนั้นมีความงามอันเป็นเอกลักษณ์ อย่างที่แม้จะทำของเลียนแบบอย่างไรก็ทดแทนไม่ได้

“ไม่สนใจกำไลข้อเท้าเหรอ…” เด็กหนุ่มมองตามร้านขายเครื่องประดับอัญมณีสำหรับสตรี แล้วก็อดเอ่ยปากถามไม่ได้

ตามห้างร้านที่ค่อนข้างหรูหรา ดูเหมือนเครื่องประดับที่ภูมิใจนำเสนอที่สุดจะเป็นสร้อยหรือกำไลสำหรับสวมข้อเท้า มีหลากหลายแบบ ลวดลาย สีสัน ดูละลานตา หญิงสาวจำนวนมากก็นิยมพินิจดูรายละเอียดของสร้อยข้อเท้า...แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อติดมือกลับออกมา ได้แต่วางลงอย่างเสียดาย

โคร่ามองนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงเบา “ฉันมีของเดิมอยู่แล้ว ที่จริงพ่อก็ไม่ค่อยอยากให้ใส่ด้วย ที่ใส่อยู่ทุกวันนี้ก็แอบๆ ไกลหูไกลตา…”

นัยน์ตาสีเขียวหม่นอดเหลือบมองข้อเท้าที่ประดับด้วยกำไลทองคำไม่ได้

“ฉันว่าเธอใส่แล้วสวยดี”

เด็กสาวคลี่ยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่งดงาม “ขอบคุณนะ”

ทหารรับจ้างหันมองรอบตัว ดูร้านเครื่องประดับที่ออกแบบสร้อยข้อเท้าได้งดงามที่สุด ก่อนพาอีกคนให้เข้าไปพร้อมกัน มือที่กร้านอย่างคนหยิบจับอาวุธบรรจงเลือกสร้อยทองคำอย่างตั้งใจ “เธอชอบสีอะไรเหรอโคร่า…”

เด็กสาวยิ้ม มองนิ่งไปนิดหนึ่ง สายตาเหลือบมองแม่ค้าที่กำลังเดินตรงมาทางพวกเธอ “ก็...สีแดง กับเขียวน้ำทะเล”

“จะซื้อสร้อยไปให้ใครหรือพ่อหนุ่ม…” แม่ค้าสาวเอ่ยถาม รอยยิ้มของเธอดูเหมือนจะรู้ทัน

รอสส์เงยหน้าขึ้น ละมือจากสร้อยที่ประดับด้วยโกเมนสีแดงก่ำ “ซื้อให้เธอนี่แหละครับ…” มองโคร่าหมายจะสื่อตัวบุคคล แต่กลับทำให้สายตาของแม่ค้าดูแปลกประหลาดยิ่งกว่าเดิม

“เขาใส่สร้อยข้อเท้าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

รอยยิ้มนั้นเรียกให้ลมหายใจของเด็กหนุ่มติดขัด รู้สึกว่าเวลานี้ใบหูของตนน่าจะขึ้นสีเรื่อไม่ต่างจากอัญมณีในมือเป็นแน่...ทั้งที่ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร

รอสส์หลบตา ไม่ตอบอะไรมากกว่านี้ แต่ชวนโคร่าช่วยกันเลือกดู จนกระทั่งได้สร้อยข้อเท้าที่ถักจากโซ่ทองคำ ประดับทับทิมเม็ดเล็ก และมีจี้รูปหยดน้ำที่ประกอบจากทับทิมเจียระไน สีแดงก่ำราวกับกลีบของดอกกุหลาบ...ระหว่างนั้นโคร่าก็ดึงแขนเขาเข้ามากระซิบ

“รอสส์...จริงๆแล้ว ในเวนอลน่ะ...สร้อยข้อเท้าคือของหมั้นหมายสำหรับคนที่จะแต่งงาน”

รอสส์ชะงัก รู้สึกได้ถึงโลหิตที่สูบฉีดขึ้นไปยังใบหน้าร้อนแดง เขาเม้มปากนิดหนึ่ง ทอดสายตามองอย่างจริงจัง นัยน์ตาสีอเมธิสต์คู่สวยนั้นสบตรงอย่างติดจะขัน ไม่มีแววแห่งความเขินอายอย่างหญิงสาวที่เขาเคยผ่านมา...ความเขินอายที่หลายครั้งเขาก็รู้สึกว่าเป็นเพียงมารยา หรือสิ่งที่สตรีเหล่านั้นคิดว่าควรกระทำเท่านั้น...กระนั้นก็ทำให้รู้สึกไม่แน่ใจกับหลายๆอย่าง

ความรู้สึกในใจของเด็กหนุ่มนั้นชัดเจนอยู่แล้วตั้งแต่แรก

เพียงแต่เขาต้องอาศัยความกล้าที่จะก้าวข้ามกำแพงบางๆนี้ไป

ทั้งที่ยังเคอะเขิน ทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อเลือกแล้ว เขาจึงยืนยันกับแม่ค้า ว่าจะขอซื้อสร้อยนี้ไว้...สร้อยอัญมณีสีแดงนั้นจึงบรรจุลงในกล่องกำมะหยี่สีเดียวกัน ใส่ไว้ในถุงผ้าแดงอีกชั้นหนึ่ง ผูกร้อยด้วยโบโปร่งสีทอง

ชั่วขณะหนึ่งที่เด็กสาวดูประหม่า...เป็นชั่วเวลาสั้นๆที่รอสส์สังเกตได้ รอยยิ้มผุดพรายที่มุมปากนั้น ก่อนจะก้าวเท้าออกจากร้านไปพร้อมกับคนข้างตัว แม้ยังรู้สึกว่าควรหลบสายตาที่มองมาจากแม่ค้าในร้านก็ตามที

“ขอบคุณนะรอสส์” โคร่าพึมพำ ดึงตัวเขาเข้ามาใกล้ ระหว่างเดินต่อไปในตลาดอัญมณีทอดยาว “แต่คือ...ฉันใส่กำไลข้อเท้าอยู่แล้วไง”

เด็กสาวอธิบายกับเขา ว่าเมื่อสร้อยข้อเท้าคือการหมั้นหมาย ดังนั้นในสายตาของชาวเวนอล โคร่าน่าจะมีคู่ที่ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว จึงได้สวมกำไลข้อเท้าอยู่

“...ส่วนเธอก็เป็นคู่รักลับๆของฉัน” พูดติดจะขำ...อันที่จริงดูเหมือนเธอจะกำลังกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ

รอสส์หลบตาไปอีกทาง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยกมือสางผมที่ปรกตาตนให้ปัดขึ้นไป “เอาน่า...เธอใส่สวยก็พอแล้ว”

สายตาและรอยยิ้มมีความสุขของคนข้างตัวทำให้เขาไม่กล้าหันกลับไปมอง…

ชัดเจนอย่างไร ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้

ถึงแม้จะตอบกับตนเองไม่ได้สักที ว่าเมื่อนั้น ควรเป็นเมื่อใด

------


[To be continued]