หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

[ToB] Swords of bravery [2]

Swords of bravery [2]



(เหตุการณ์ในช่วงปิดเทอม ก่อนขึ้นชั้นปีที่ 2)


ตัวละครในตอนนี้:
รอสส์ เอวาริสเต ทหารรับจ้างแห่งแอเรียส [-]
โคร่า คราวลีย์ นักกายกรรมแห่งแอเรียส [-]

------



รุ่งเช้า แสงแรกนวลตาตัดกับปราการสูงหนาทึบทึมอันแข็งแกร่งแห่งคาโนวาลให้ทอดเงายาว บนถนนปูด้วยหินที่สึกกร่อนจากล้อเกวียนและเกือกม้า นักเดินทางจำนวนหนึ่งทยอยออกจากประตูกลของเมืองที่เคลื่อนเปิด เสียงกุกกักจากพื้นหินดังก้องเป็นระยะสม่ำเสมอ เคล้าคลอกับเสียงนกกา ทำลายความเงียบงันยามราตรีให้สลายไป

พวกเขาขี่ม้ามุ่งขึ้นเหนือ ทิ้งกีส์เลนไว้เบื้องหลัง

กลางทุ่งหญ้ากว้างที่เคยเขียวขจี ลมหนาวกำลังพัดพา จึงไม่อาจท่องเที่ยวชื่นชมความงดงามรอบตัวได้นานนัก...ทั้งสองแวะพักตามหมู่บ้านรายทาง นั่งรับประทานอาหารตามร้านเล็กๆ พักม้าเป็นระยะ ไม่ให้พวกมันต้องเหน็ดเหนื่อยเกินไป...ไออุ่นจากเตาผิงและแสงไฟอ่อนจางจากร้านรวงประปรายตามเขตที่อยู่อาศัยทำให้การเดินทางครั้งนี้ไม่ยากลำบาก โคร่าไม่เร่งร้อน เธออยากใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดกับการเดินทางที่ไม่ได้มีบ่อยครั้ง เพราะฉะนั้นเขาจึงตามใจเธอ

เย็นวันนั้น เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียงที่ค่อนข้างแคบและแข็ง ห้องยังคงอบอุ่น แต่อยู่ไม่สบายเท่าใด โดยเฉพาะเมื่อคลี่แผ่นหนังตราเวทมนตร์อันเป็นเครื่องมือสำคัญของกลุ่มทหารรับจ้างที่เขาสังกัด ข้อความที่ปรากฏทำให้เขานิ่งงัน

เจ้าชายนาวีนสิ้นพระชนม์ ในพิธีตามไตรเศียรคชสาร

คิ้วหนาขมวดเคร่ง กับคำสั่งอันว่างเปล่า

ในใจของประชาชนชาวแอเรียสอย่างทหารรับจ้าง รอสส์ เอวาริสเต ไม่เคยสนใจว่าใครจะขึ้นมามีอำนาจ เพียงแต่...เจ้าชายนาวีน ออราเรียส เป็นรัชทายาทที่เขาไม่สามารถมองเห็นหนทางอื่นของพระองค์ได้นอกจากบัลลังก์ราชา

เป็นความรู้สึกใจหาย และแปลกใจ มากกว่าเศร้าเสียใจ

คาโนวาลห่างไกลจากแอเรียสมากเกินไป...เกินกว่าที่เขาจะรับคำสั่งใดจากผู้ควบคุม

เขามองออกไปนอกหน้าต่าง พระจันทร์เดือนหงายปรากฏเลือนรางบนท้องฟ้าสีม่วงน้ำเงิน เมืองเล็กๆแห่งนี้เงียบสงบแทบจะทันทีที่ตะวันตกดิน แสงสว่างภายนอกมีแต่แสงตะเกียงที่ลอดกรอบหน้าต่างบ้านเรือนออกมา และกองไฟที่จุดให้ความอบอุ่นแก่นักเดินทางเร่อีกฝั่งหนึ่งของกำแพงเมือง

มีคนกลุ่มหนึ่งดูคุ้นตา พวกเขาแบกสะพายห่อผ้าที่หน้าตาเหมือนเครื่องดนตรี ผ่านหน้าโรงพักแรมของพวกเขา ตรงไปยังลานต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกล แล้วจึงนั่งลงรวมกลุ่มกัน หยิบเครื่องดีดมาลองเสียง ตั้งสายใหม่ หนึ่งในนั้นแขวนตะเกียงกับกิ่งไม้ใหญ่ ส่องแสงวูบไหวตามแรงลมพัดพา บทเพลงแผ่วเบาชวนคุ้นหูเริ่มบรรเลงขึ้นช้าๆ ผู้คนที่ผ่านไปมาเริ่มหยุดยืนเฝ้าฟัง

เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะดังขึ้น เรียกให้เด็กหนุ่มหันกลับมา รอสส์ลุกยืนขึ้น พับแผ่นหนังสอดเก็บไว้ใต้เสื้อคลุมด้านนอก สาวเท้าตรงไปดึงประตูเปิดเข้ามา...โคร่ายืนอยู่ตรงหน้าเขา เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พูดถึงนักดนตรีที่กำลังเริ่มจัดแสดงอยู่อย่างร่าเริง จำได้ว่าเป็นนักดนตรีที่เจอกันในกีส์เลน กำลังจะเดินทางไปเวนอล

รอสส์พยักหน้า ตอบรับคำ

เขาเห็นแต่รอยยิ้ม...รอยยิ้มที่ราวจะนึกถึงความสนุกสนานรื่นเริง

เด็กสาวเดินกึ่งวิ่งนำหน้า มือเพรียวคว้ามือของเขา พาให้ตามไปด้วยกัน บนถนนปูหินสีทึมเทา ยามโพล้เพล้ที่ความมืดมิดเริ่มโรยตัว เสียงฝีเท้าของทั้งสองดังเป็นจังหวะ จนหยุดยังลานใต้ต้นไม้

แสงตะเกียงแกว่งไกว ปลายนิ้วของนักดนตรีกรีดสายตึงให้สั่นสะเทือน กังวานสดใส อบอุ่นละมุนละไม แม้อยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของฤดูหนาว หญิงสาวที่มาด้วยกันกับนักดนตรีนั้นนั่งอยู่เคียงข้าง เธอเงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบกาย ก่อนเปล่งเสียงขับร้องบทเพลงงดงามให้ประสานกัน

นักร้องสาวเริ่มเต้นรำ ท่าทางสดใสสนุกสนาน กระโดดเว้นและปรบมือเป็นครั้งคราว แม้จังหวะเร่งสักเท่าใด เสียงหวานนั้นก็ไม่ขาดห้วงลงไปเลย

โคร่าวาดเท้าตามจังหวะของเพลง เร่งเร้าร่าเริง กระพรวนข้อเท้าส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง เธอยังจับมือเขาไว้ พลันก็คลี่ยิ้ม

“รอสส์เต้นเป็นรึเปล่า?” นักกายกรรมแห่งแอเรียสถามพลางหัวเราะน้อยๆ

เด็กหนุ่มยักมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง กระชับมือของเธอไว้แน่น
แทนคำตอบ เขาโอบรั้งเอวเธอเข้ามาใกล้ ก้มหน้าลง จนใกล้ชิดกัน

“ไม่รู้...เธอคงต้องสอนฉันหน่อยแล้วล่ะ”

รองเท้าหนังตบลงกับพื้นดิน ร่างกายเคลื่อนไหว ดนตรีนำทาง เงาดำทอดยาวเหนือพื้นลานกว้าง ขยับไปเป็นจังหวะ เอนอ่อนและผ่อนปรน สลับโลดโผนรุนแรง เรือนผมสีทองสุกสว่างสะบัดพลิ้วเรืองรอง เด็กสาวร่ายรำ และเขาก็ก้าวตามเธอ

คืนเดือนหงาย ราตรีมืดมิด บทเพลงนั้นกล่าวถึงพระจันทร์

ราวกับจะอยู่ในความฝัน

ความฝันที่ไม่มีความสูญเสียใดๆเกิดขึ้นเลย

------


อากาศหนาวที่โรยตัวอย่างเชื่องช้าทำให้หยดน้ำค้างบนยอดหญ้าเริ่มจับตัวแข็ง เป็นผลึกใสระยิบระยับในยามเช้า ธารน้ำหลากหลายสายที่ไหลเอื่อยจากเขตภูเขาสู่แม่น้ำเลทิสทางตะวันตกล้วนเย็นจัด พวกเขาควบขี่ม้าข้ามสะพานแล้วสะพานเล่า ฝ่าสายลมและละอองน้ำจากลำธารกระซ่านเซ็น จนพื้นดินเริ่มสูงชันขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็เข้าสู่ที่ราบเชิงเขา เขตเหนือสุดของคาโนวาล...รอยต่อสู่เทือกเขาทอดยาวอันเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างอาณาจักรนักรบและอดีตจักรวรรดิอันเกรียงไกร

"ที่นี่ก็มีงานประลองเหรอเนี่ย..." รอสส์รำพึงเมื่อพวกเขาผ่านทหารยามที่ประตูเมืองเข้าไป ยิ้มขบขัน "คาโนวาลนี่บ้าเลือดอย่างที่เขาเล่ากันจริงๆ"

"อยากจะไปบ้าเลือดกับเขาก็ยอมรับมาเถอะน่า..." โคร่ากลั้นขำ เธอหันมองสีหน้าของคนข้างตัว ดูเหมือนใครคนนั้นพร้อมจะคว้าดาบลงไปท้าใครก็ตามที่ผ่านไปผ่านมา เพื่อพิสูจน์ฝีมือตนเอง สายตาของเขาไล่มองอาวุธละลานตาที่ผู้คนรอบตัวสะพายกับบ่าอย่างสนอกสนใจ ราวกับกำลังประเมินฝีมืออยู่กลายๆ ด้วยท่าทีว่าคุ้นเคยกับการกระทำนี้เสียเหลือเกิน

...ไม่น่าจะมีแต่คาโนวาลที่บ้าเลือดล่ะมั้ง

ทหารรับจ้างแค่นเสียงจากลำคอ "มันก็ขึ้นอยู่กับว่ารางวัลน่าสนแค่ไหน" ว่าพลางก็ควบม้าไปยังป้ายประกาศที่ใกล้ที่สุด ไม่ไกลจากบริเวณสำหรับรับสมัครนักสู้ที่มีผู้คนค่อนข้างแออัด "อ่า...ฉันเพิ่งซื้อดาบใหม่ตอนเข้ามาเรียน คงยังไม่อยากได้เพิ่ม" นัยน์ตาคู่สีเขียวหม่นเหลือบมอง "เธอล่ะโคร่า...อยากได้รึเปล่า"

งานประลองที่โคลเทนครั้งนี้ไม่ใหญ่อย่างในกีส์เลน รับสมัครผู้กล้าเพียงไม่กี่คน คล้ายจะเป็นงานที่จัดฆ่าเวลาระหว่างพักจากฤดูกาลประลองครั้งก่อน เป็นงานแบบแพ้คัดออก กำหนดเวลาภายในสองวัน จึงนับว่าไม่กระทบวันเดินทาง

ส่วนของรางวัล...

"ถ้าอยากได้จะไปสู้ชิงมาให้หรือ" เด็กสาวถาม สายตามองยังเครื่องประดับรูปทรงแปลกตาที่วางอยู่ตามร้านค้า มันทำจากเหล็กกล้าเป็นส่วนใหญ่ ประดับด้วยลวดลายมากกว่าอัญมณี โดยรวมแล้วไม่ถูกรสนิยมเธอเท่าใด แต่ก็สวยงามมากพอจะต้องเหลียวมอง

"ใช่"

โคร่าหันมองคนข้างตัว นึกสงสัยขอบเขตของคำตอบนั้น

"ถ้าอย่างนั้น..."

มือบางชี้ไปยังดาบคู่เล่มงาม วางไขว้ขัดกันในกรอบกระจกใสที่ตั้งอยู่เหนือแท่นโลหะสำหรับรางวัลในงานประลอง

รอสส์มองตามปลายนิ้ว แล้วหันมายิ้มให้กับเธอ

------


ปลายดาบเย็นเยียบแนบลงกับผืวกายของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง

ก่อนนี้นักดาบแห่งแอเรียสเสียทีลงไปกลิ้งคลุกฝุ่น เขาย่อตัวลงคุกเข่า ค่อยลุกยืนอย่างเชื่องช้าและซวดเซ แต่แล้วในวินาทีที่นักรบแห่งคาโนวาลจะวาดดาบลงเป็นครั้งสุดท้าย ปลายแหลมของดาบยาวสีเทาหม่นก็ถูกเสือกมาตรงหน้า ประชิดจนบาดดั้งจมูก เกือบลงถึงดวงตา แม้คนที่ยังลุกยืนไม่เต็มเท้าดีจะไม่ได้หันมามองด้านหลังของตนเลยก็ตาม

ร่างสูงชะงักไปกับรอยเลือดที่หยดมาตามดั้งจมูกของตน พร้อมกันนั้นดาบยาวก็ค่อยเคลื่อนมานาบข้างลำคอ สัมผัสเย็นเยียบของโลหะทำให้นักรบหนุ่มเจ็บใจ...และสิ่งที่ทำให้เจ็บใจยิ่งกว่าคือสีหน้ากึ่งเยาะเย้ยจากเด็กหนุ่มอ่อนวัยตรงหน้าที่เพิ่งจะเบือนหน้ากลับมาหา

"ขอโทษด้วยนะครับ" นักดาบจากต่างแดนพูดยิ้มๆ ขยับยืนอย่างงามสง่า ยามที่เสียงประกาศชัยชนะขานชื่อของเขา "...พอดีว่าไม่มีกฎห้ามเล่นละครในการประลองดาบ"

นักรบตรงหน้าเด็กหนุ่มถอนหายใจหนักๆ "ฉันพลาดเอง..." มือสวมถุงมือหนังนั้นเอื้อมมาตบบ่าอดีตศัตรูที่เพิ่งกำชัย "โชคดีแล้วกัน ฉันจะรอดู"

"ขอบคุณที่อวยพรครับ" นักดาบผู้อ่อนวัยกว่าหัวเราะน้อยๆ เขาค้อมศีรษะนิดหนึ่งราวกับจะขอโทษอย่างจริงจัง ก่อนจะเดินออกจากลานกว้างไปพร้อมกัน

ใบหน้าคมคายเงยขึ้นมองเพดาน เห็นตราสัญลักษณ์ของเมืองแบบวาดสีบนปูนเปียกปรากฏอยู่ด้านบน เขาเลื่อนสายตาลงช้าๆ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปพักใหญ่ การประลองอีกหลายคู่ผ่านพ้นไป จนเกือบถึงรอบสุดท้ายที่เขาจะต้องต่อสู้กับผู้ชนะในกลุ่มเหล่านี้ เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้น เดินเลี่ยงออกจากห้องพักสำหรับผู้ร่วมประลอง ก่อนยกมือให้กับผู้ชมที่นั่งแถวด้านหน้า ริมสุดติดกับขอบรั้วฝั่งเดียวกัน นักดาบต่างแดนส่งยิ้มกว้างอย่างมั่นใจให้กับเด็กสาวผมสีบลอนด์สว่างที่รวบไว้ครึ่งศีรษะที่มองตรงมา ไม่พูดอะไร และไม่ทำอะไรมากไปกว่ายืนพิงกำแพงสูงกั้นกลางเงียบๆ เฝ้ามองการต่อสู้กลางสนามที่กำลังจะสิ้นสุด

บ่ายวันนี้จะเป็นรอบตัดสิน...นัดสุดท้ายสำหรับการชี้ชะตา ว่าใครจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะสูงสุด และได้ครอบครองดาบคู่ทรงเพรียวประดับอัญมณีงดงาม เหมาะมือสำหรับนักสู้ที่ต้องการความว่องไวเฉียบคม อาชีพของผู้เข้าร่วมประลองครั้งนี้จึงหลากหลาย มีตั้งแต่นักรบ นักล่า นักดาบ ไปจนถึง...

ร่างหนึ่งล้มลงส่งเสียงหนักๆจากกลางลานประลองกว้าง ชื่อของผู้ชนะขานลั่นดังทั่วสนาม เรียกรอยยิ้มจากใบหน้าของเด็กหนุ่มให้คลี่กว้างยิ่งขึ้นอย่างนึกสนุก

“ดราโกเมียร์ เดย์...นักดนตรีแห่งคาโนวาล!”

ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะได้ประลองกับคนที่สุดแสนจะคุ้นตา

ชายหนุ่มผมยาวรูปร่างผอมบาง ฉายานักดนตรี ยืนโค้งอยู่กลางสนาม ต่อหน้าร่างของคู่ต่อสู้ที่พลาดเสียหลักล้มกระแทกพื้นหมดสติไป และกำลังได้รับการปฐมพยาบาลโดยคณะผู้เยียวยาประจำลานประลอง เขาคลี่ยิ้มน้อยๆกับชัยชนะที่ได้รับ พลางก็หันมามองนักดาบที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาในครั้งสุดท้าย

นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนของนักดนตรีสังเกตเห็นเด็กสาวที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ ก่อนจะเลื่อนมาสบตากับนักดาบต่างแดน แววตาคู่นั้นเป็นประกายหยอกเย้า คล้ายกับรู้ทันความลับหรือจุดมุ่งหมายบางอย่างของเด็กหนุ่ม

‘เจอกันอีกแล้วนะ’ ริมฝีปากของผู้เพิ่งได้รับชัยชนะขยับอย่างไร้เสียง

นักดนตรีผู้ชนะการประลองไม่ใช่ใครคนไหน

...แต่เป็นคนเดียวกับที่เคยนั่งอยู่ที่ลานต้นไม้ ดีดเครื่องสาย และขับร้องบทเพลงแสงจันทร์อันงดงามในค่ำคืนนั้นเอง

------


มีดบินเพิ่งเฉียดผ่านข้างแก้มไปเมื่อวินาทีก่อน ตามมาด้วยมีดอีกเล่มหนึ่งที่อีกข้าง และร่างของคู่ต่อสู้ที่เข้ามาประชิด พร้อมกับดาบที่เหวี่ยงวาดอย่างรวดเร็ว

รอสส์ แอลลิส นักดาบแห่งแอเรียส หมุนตัวหลบในท่วงท่าที่ปราศจากความสวยงาม ก่อนเสือกดาบจากใต้ลำตัวของตนไปสกัดการโจมตีครั้งใหม่จากอาวุธในมือของคนที่ได้ฉายาว่านักดนตรี

ดราโกเมียร์สาวเท้าไปเก็บมีดที่ปักอยู่ไม่ไกลจากเท้าของตนอย่างเชื่องช้า คู่ประมือของเขาอยู่ไกลนัก และดูเหมือนจะกำลังประเมินความสามารถที่ไม่คุ้นเคยกับวิถีทางการต่อสู้เช่นนี้ พื้นที่ปลอดภัยจึงมากพอจะให้ชายหนุ่มยืนควงมีดสบายๆ

“สละดาบให้ฉันเถอะน่า” นักดนตรีพูดยิ้มๆ สาวเท้าเข้าหาอีกฝ่ายช้าๆ นัยน์ตาคู่สีฟ้าพราวระยับ ท่าทีดูไม่เหมือนศิลปินที่ห่างไกลจากการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย “อย่างนายน่ะไปประลองงานอื่นเดี๋ยวก็ได้เงินมาเป็นถัง หาซื้อใหม่ก็ได้”

“ถ้าฉันยอมแพ้จริงๆ?” รอสส์แค่นหัวเราะ มองหน้าคู่ต่อสู้ที่ขำจนตัวโยน

“เรื่องแบบนั้น...ถ้านายทำขึ้นมาก็หมดสนุกน่ะสิ”

เงาร่างของคนตรงหน้าวูบไหวนิดหนึ่ง ก่อนจะจางหายไป

เด็กหนุ่มก้มหน้าลงนิดหนึ่ง กราดสายตามองความเคลื่อนไหวรอบตัวที่กระทั่งอากาศยังผิดปกติ ชั่ววินาทีนั้น มือแกร่งขยับกระชับดาบยาวในมือ พู่สีขาวที่ปลายด้ามแกว่งไกวเล็กน้อย เขาเคลื่อนเท้าไปด้านข้าง ตั้งหลักเตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีที่อาจเข้ามาประชิดได้ตลอดเวลา

รองเท้าหนังยันพื้นดินจนเกิดเสียงเสียดสีและฝุ่นขึ้นมาเล็กน้อย มือซ้ายเคลื่อนประคองดาบ ก่อนผลักให้วาดเป็นวงรอบตัวและเบี่ยงทิศขึ้นเหนือศีรษะ ครอบคลุมพื้นที่รอบตัวของเขาเป็นวงกลม

ได้ยินเสียงคมโลหะปะทะกันที่เหนือศีรษะ นักดนตรีแห่งคาโนวาลกระชากดาบกลับก่อนพลิกตัวเบี่ยงออกยามเคลื่อนจากกลางอากาศลงสู่พื้นดิน รอสส์ขยับดาบฟาดฟันต่อเนื่อง ไม่ปล่อยโอกาสให้หยุดชะงัก เขาสาวเท้าเข้าใกล้ หักโหมโจมตีรุนแรง ไม่ให้นักสู้ที่ว่องไวเหนือกว่าตน และมีอาวุธระยะไกล สามารถปลีกตัวออกไปได้อีก

เด็กหนุ่มวาดดาบให้นักดนตรีกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ และต้องใส่ใจกับการตั้งรับจนไม่อาจคิดพลิกแพลงอะไรอย่างอื่น บางครั้งเขาก็เสือกดาบตรงเข้าหาจุดตาย ซึ่งทำให้ความสนใจของฝั่งตรงข้ามต้องหยุดอยู่ที่คมอาวุธของตนเพียงอย่างเดียว

คิ้วขมวดเกร็ง ริมฝีปากเม้มแน่น ยามที่กระชากดาบกลับแทงเสียบตรงไปด้านหน้าและวาดเฉียงขึ้นด้านบนซึ่งเป็นจุดอ่อนเดียวที่เขามองเห็นในขณะนั้น แต่กลับปะทะคมมีดสั้นที่นักดนตรีซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อ อาวุธด้ามเล็กนั้นกระเด็นไปไกล ร่วงหล่นหมุนลงบนพื้น ไม่สามารถเก็บกลับมาได้เร็วๆนี้ ทว่ามันได้ช่วยปกป้องจุดตายของผู้เป็นเจ้าของ ไม่ให้บาดเจ็บ หรือต้องพ่ายแพ้

นัยน์ตาคมสังเกตทุกอากัปกิริยาของคู่ต่อสู้ เขาไม่รู้สึกเลยสักนิดว่านี่คือศิลปินนักดนตรี สัญชาตญาณทุกอย่างคือนักรบ นักสู้ ทั้งทักษะการใช้อาวุธพลิกแพลงหลากหลายนั้นก็เข้าขั้นไม่ธรรมดา น่าสงสัยว่าทำไมเขาจึงออกเดินทางเป็นนักดนตรีเร่...และตัวตนที่แท้จริงของดราโกเมียร์ เดย์ ซึ่งชื่อไม่เข้ากันเลยกับนามสกุล นั้นคือใคร

แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่รอสส์ แอลลิส จำเป็นต้องรู้

มีดบินจากมือหนึ่งขว้างวูบผ่านจุดที่เขามองไม่เห็น เฉียดท่อนแขนที่กำลังขยับดาบไปทิศทางนั้น บาดเสื้อจนมีรอยขาด เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าตนได้รับบาดเจ็บหรือไม่ โลหิตที่สูบฉีดในร่างและความคิดทั้งหมดล้วนมุ่งแต่การเอาชนะ...ทำงานนี้ให้สำเร็จ...ความรู้สึกอื่นใดตลอดร่างจึงไม่อาจผ่านเข้ามาสู่ห้วงแห่งการรับรู้

จะเป็นใคร มาจากไหน...ตัวเขาจะบาดเจ็บหรือไม่...ไม่สำคัญ

ก็แค่ต้องชนะ

ไม่มีการต่อรอง ไม่มีทางเลือกอื่นทั้งนั้น

ไม่มีคำว่าทำไม่ได้

รอสส์ทิ้งตัวลงต่ำจนเกือบหมอบราบกับพื้น พร้อมกันนั้นก็ชี้ดาบจากล่างขึ้นบนขึ้นเหนือศีรษะของตน

ปลายสุดของคมโลหะจรดยังใต้คางของนักดนตรีหนุ่ม ก่อนเลื่อนเรื่อยมาถึงกลางลำคอ

นัยน์ตาคู่สีฟ้าสดเหลือบลงมองจากด้านบน ยิ้มแบบติดจะขำ แม้อาวุธจะจ่ออยู่ที่จุดตายของตนเอง “เมื่อยไหมท่านั้น”

“เมื่อย” รอสส์ยอมรับ เขาขยับตัวขึ้นนั่งคุกเข่า ยังไม่เคลื่อนอาวุธจากอีกฝ่าย “แต่กฏก็คือใครบุกถึงจุดตายได้ หรือทำให้คู่ต่อสู้สลบไป คือฝ่ายชนะ...ผมก็แค่ทำตามข้อแรก”

ดราโกเมียร์ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว พลางยักคิ้วให้ “จะเอาดาบไปให้แฟนเหรอนายน่ะ”

เวลานั้น โฆษกของการประลองประกาศชื่อของนักดาบจากแอเรียสพอดี เสียงพูดคุยของผู้ชมล้วนดังอื้ออึง รอสส์เก็บอาวุธกลับฝัก ก่อนลุกยืนขึ้น ถอดถุงมือหนังออกข้างหนึ่ง ปัดฝุ่นดินที่เปรอะเปื้อนตั้งแต่หัวจรดเท้าออกด้วยมือเปล่า แล้วจึงมองตรงยังคู่ต่อสู้ที่เพิ่งพ่ายแพ้ไปไม่นาน

“เธอสั่งมา ผมก็ทำตามคำสั่ง...”

คำตอบนั้นไม่ชัดเจน และนักดาบก็ไม่สนใจจะทำให้มันชัดเจน นัยน์ตาของเขาเบือนยังเด็กสาวที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม รอยยิ้มงดงามมีหลากหลายความรู้สึกปนกัน...ทั้งดีใจ ภูมิใจ ร้อนใจ เป็นห่วง...หรืออาจจะมากกว่านั้น

รอสส์เดินตรงไปยังประธานแห่งการประลอง โค้งให้อย่างเป็นพิธีการ ก่อนรับดาบคู่ที่งดงามจนสะดุดตานั้นมาจากมือของผู้เป็นประธาน ยิ้มเป็นเชิงยอมรับและปฏิเสธคำชักชวนให้อยู่ต่อที่นี่...บอกแต่เพียงว่านายของเขาสั่งมาให้ประลอง จะอยู่ต่อทำงานคงไม่ได้จริงๆ

เด็กหนุ่มรอคอยอยู่ไม่ไกลจากปะรำพิธี จนผู้คนบางตา จึงเข้าไปหาคนที่มาด้วยกัน เขากระชับมือที่ฝักของดาบคู่ไว้ในมือ แล้วหยุดยืนตรงหน้าเธอ

นักดาบแห่งแอเรียสย่อตัวลงคุกเข่าข้างหนึ่ง พลิกด้ามดาบหาเด็กสาว และยื่นมือทั้งสองข้างตรงให้ ราวกับอัศวินที่รับมอบตำแหน่งหน้าที่จากผู้เป็นนาย

โคร่า คราวลีย์ ยืนมองอยู่ตรงนั้น...คล้ายกับชั่งใจกับท่าทางของคนตรงหน้า แต่เธอก็เอื้อมมือทั้งสองมารับด้ามดาบนั้นจากผู้ส่งมอบ คาดมันกับเข็มขัดไว้ ความสวยงามของดาบคู่นั้นเหมาะกับเด็กสาวมากกว่าผู้ที่ลงสนามประลองเป็นไหนๆ

“เจ็บตรงไหนรึเปล่า...” เด็กสาวพูดเสียงเบา มองร่างสูงที่ค่อยลุกยืนขึ้น และแววตาที่เปลี่ยนไป “เมื่อกี้เห็นแขนเธอถูกมีดบาด”

เด็กหนุ่มชะงักไป ก่อนจะค่อยยกแขนขวาที่ชุ่มด้วยเลือดจนผืนผ้าเป็นปื้นกว้างสีดำคล้ำขึ้นมาต่อสายตา พลันสีหน้าของเขาก็เริ่มแสดงความเจ็บปวด กัดฟันแน่น “ก็...ที่จริงฉันก็เพิ่งสังเกต”

โคร่าคว้ามือของเขา ลากให้นั่งลงกับม้านั่ง ดึงแขนมาใกล้ ถลกแขนเสื้อขึ้นสูงถึงศอก แล้วเม้มปากเมื่อเห็นรอยคมมีดที่ถากลึกเป็นแนวยาว

“เพิ่งสังเกตได้ยังไง...” เด็กสาวพึมพำ ยามคลี่กระเป๋าพกพาออก นำกระปุกยาวางข้างตัว พร้อมกับผ้าพันแผล บรรจงเช็ดคราบเลือดออกด้วยผ้าขาว แตะนิ้วที่เนื้อยานุ่ม ป้ายตามขอบแผลอย่างแผ่วเบา เธอถอนหายใจหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งพันผ้าจากส่วนปลายแขนเรื่อยขึ้นไป “ขอบคุณนะ แต่ทีหลังไม่เอาแล้วนะแบบนี้”

รอสส์ขยับยิ้ม เขายกแขนที่พันด้วยผ้าขึ้นมอง สายตาคู่นั้นอ่อนลง “...มากกว่านี้ก็ยังได้”

โคร่าหยุดมือที่ผูกปมผ้า เงยหน้าขึ้นสบตา “ขีดที่ไม่ได้...มันเท่าไหนกัน”

ไม่มีคำตอบเป็นคำพูดใดๆ

มีแต่แววตาของเขาที่สื่อถ้อยคำทุกอย่าง

และเธอก็ไม่ออกปากถาม ถึงแม้หลายครั้งจะอยากให้เขาพูดออกมาก็ตามที

------




[To be continued]

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

[ToB] A long winter journey.

A long winter journey.



(เหตุการณ์ในช่วงปิดเทอม ก่อนขึ้นชั้นปีที่ 2)


ตัวละครในตอนนี้:
รอสส์ เอวาริสเต ทหารรับจ้างแห่งแอเรียส [-]
โคร่า คราวลีย์ นักกายกรรมแห่งแอเรียส [-]

------




“ปีนี้...ปิดเทอมจะกลับบ้านรึเปล่า”



โคร่า คราวลีย์ รุ่นพี่ชั้นปีที่สอง แห่งปราสาทขุนนาง เปรยขึ้น


กลางดึกคืนหนึ่ง เด็กสาวนั่งอยู่ที่ริมกรอบหน้าต่างปราสาทชั้นสาม ก่อนจะเหวี่ยงตัวผ่านบานหน้าต่างออกสู่ด้านนอก มือเรียวยึดเสาไว้ เหยียดแขนพยุงร่างที่ค่อยกลับหัวด้วยมือเดียว สะบัดเรียวขาออกสูง ทิ้งปลายอาภรณ์และเรือนผมให้ร่วงลงพัดพลิ้ว  เธอวาดมือร่ายรำ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของสายลมยามราตรี

อันตราย...ทว่างดงาม

กระพรวนข้อเท้าส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเป็นระยะ ยามที่ร่างบางนั้นเหวี่ยงตัวผ่านบานหน้าต่าง หมุนตัวลงมาถึงชั้นสอง ซึ่งเป็นที่ที่เด็กหนุ่มเฝ้าฝึกซ้อมอะไรบางอย่างอยู่เป็นประจำ

ช่วงนี้เขาเจ็บ...ป่วยไข้จากการหักโหมมากเกินไป จึงมักออกมาอ่านหนังสือ ท่องบทมนตราอยู่อย่างเดียวดาย ไม่มีใครอยู่ฝึกซ้อมด้วยกัน

นอกเสียจากเงาหนึ่งที่ร่ายระบำอย่างอ่อนช้อย

และครั้งนี้ก็เป็นอีกค่ำคืน

“น่าจะกลับนะ…” รอสส์ตอบ เขายืนพิงกำแพงปราสาทอยู่ ในมือถือหนังสือเวทมนตร์เล่มหนา คั่นไว้ด้วยปลายนิ้ว สายตามองตรงต่อเด็กสาวที่นั่งอย่างหมิ่นเหม่อยู่ริมหน้าต่าง “เว้นแต่จะมีงานอะไรให้ทำระหว่างทาง ถ้างานไม่เสร็จหรือนายของฉันไม่เรียกตัว ก็คงไม่ได้กลับ”

ริมฝีปากนั้นคลี่ยิ้มบาง “แล้วถ้ามีงานที่จ้างให้เธอต้องกลับบ้านล่ะ?”

“งานอะไรเหรอครับแบบนั้น” คิ้วเข้มเลิกสูงขึ้น

“ฉันกำลังหาคนคุ้มครองระหว่างเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงแอเรียส เราคงเดินทางไกลด้วยกันได้...ว่ายังไง สนใจไหม?”

เขาสบตาเธอ

รู้สึกว่ากาลเวลาหยุดนิ่งลงชั่วขณะ เสียงหัวใจในอกรุนแรงกว่าปกติ...ถึงแม้สีหน้าของเด็กหนุ่มจะยังไม่เปลี่ยน แต่ลึกๆแล้วเขารู้ตัวเองมาตลอด

ไม่ใช่แค่สนใจหรอก...ไม่ใช่แค่นั้น

“ปกติแล้ว เวลาจะจ้างงาน…”

รอสส์อธิบายขั้นตอนว่า สำหรับแบล็กแซนด์ งานทุกอย่างจะถูกส่งไปที่ส่วนกลาง แล้วให้ผู้ควบคุมตัดสินใจว่าจะส่งทหารรับจ้างคนใดไปปฏิบัติงานนั้น...เกณฑ์อยู่ที่ลักษณะงาน เงื่อนไข ความเสี่ยง และความสามารถเฉพาะตัวของทหารแต่ละคน...รวมถึงพื้นที่ที่ปฏิบัติงานอยู่เดิม ความเร่งด่วน...หลากหลายปัจจัย

“แต่ก็น่าจะเป็นฉันนั่นแหละ…” เด็กหนุ่มย้ำ ก่อนจะบอกต่อว่าคืนนี้เขาจะแจ้งไปที่ผู้ควบคุม แล้วจะให้คำตอบในวันพรุ่งนี้อีกที

“ไม่มีปัญหา” โคร่าพยักหน้า “ถ้างั้นคืนนี้ฉันไปนอนก่อนแล้วกันนะ…”

เด็กสาวยืนหลังตรงที่กรอบหน้าต่าง เอื้อมมือโหนตัวกับราวโลหะด้านบน เขย่งจนยืนอยู่บนปลายเท้า ก่อนจะเสริม

“แล้วก็ รอสส์...รีบนอนนะ อย่าหักโหมล่ะ”

นักกายกรรมแห่งแอเรียสหายลับไปกลางฟากฟ้ายามราตรี เหลือไว้แต่ผ้าม่านหนักสีน้ำเงินเข้มขลิบทองที่ไหวน้อยๆ จากแรงส่งของใครคนหนึ่งที่เพิ่งจากไป

เด็กหนุ่มล้วงแผ่นหนังหยาบออกมาจากกระเป๋าด้านในของเสื้อ หยิบปากกาขึ้นมาจรดเขียนข้อความสั้นๆ ก่อนจะลงนามของตน เป็นการปิดท้าย และไม่นาน หมึกที่ปรากฏก็ค่อยเลือนลาง จนจางหายไป เป็นสัญญาณว่า ‘ส่วนกลาง’ หรือผู้ควบคุมการจ้างวานในกองทัพศาสตราทมิฬได้รับรู้แล้ว

รุ่งเช้า รอสส์เดินไปในโรงอาหารกริฟฟินอย่างที่ปฏิบัติอยู่ทุกวัน แวะไปยังที่นั่งของเด็กสาว ก่อนขออนุญาตปลีกตัวเธอมาจากเพื่อนร่วมโต๊ะ และมอบหนังสือสัญญาไว้ให้

แบล็กแซนด์ตอบตกลง เช่นเดียวกับตัวเขาเอง

สัญญานั้นจรดลงด้วยปากกา ประทับตราโลหิตจากปลายนิ้ว เป็นพันธนาการด้วยเวทมนตร์และวิญญาณ ว่าทหารรับจ้างผู้นั้นจะไม่มีวันบิดพลิ้วจากเงื่อนไข ตราบจนงานสิ้นสุด

จนกว่าจะถึงบ้าน โคร่า คราวลีย์ จะปลอดภัย

เป็นคำสัตย์สาบานจากกองทัพศาสตราทมิฬ...และจากชีวิตของทหารรับจ้างนามว่า รอสส์ เอวาริสเต


------


เด็กหนุ่มควบม้า ออกถนนสายเลี่ยงเมือง ฝ่ากลางท้องทุ่งกว้าง

เบื้องหลังของเขาคือปราสาทที่อาศัยอยู่มาตลอดหนึ่งปี...สถานที่ซึ่งเจ้าชาย เจ้าหญิง ทหารรับจ้าง และโจรสลัด อยู่ร่วมกันอย่างไม่แบ่งแยก ร่ำเรียน ฝึกฝน ประลอง ต่อสู้ ร่วมดื่มกินและหลับใหลใต้หลังคาเดียว

สถานที่ ที่มีชื่อว่า ‘โรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์ก’

เคียงข้างกับม้าสาวประจำกาย ยังมีม้าอีกตัวหนึ่ง...เด็กสาวร่างโปร่งบางที่มีฉายา นักกายกรรมแห่งแอเรียส คือผู้ควบขี่

เรือนผมสีสว่างของเธอพลิ้วไสวตามแรงลม ทอประกายระยิบระยับกับแสงตะวัน

ทิศทางของพวกเขามุ่งขึ้นเหนือ...เอดินเบิร์กยังเป็นเขตอบอุ่น กลางฤดูหนาว หิมะยังโปรยปรายบางเบาแต่เพียงครั้งคราว แต่หากเลยจากเขตเทือกเขาชายแดนคาโนวาลและเวนอล อากาศจะยิ่งเย็นลง...โดยเฉพาะเมื่อเข้าเขตสามเหลี่ยมอันตรายที่ชายแดนของสามประเทศเข้าบรรจบกัน

ได้แต่หวังว่าการเดินทางกลางฤดูหนาวครั้งนี้ จะไม่ทรมานจนเกินไปนัก

โดยเฉพาะเมื่อผู้ว่าจ้างเป็นบุคคลพิเศษต่างออกไป

มือแกร่งกระชับผ้าคลุมหนา เหวี่ยงหมวกขึ้นคลุมศีรษะ เชิงเขาพรมแดนโคมิเน่และคาโนวาลค่อนข้างปลอดภัย เขตที่ราบสูงนี้มีหมู่บ้านและเมืองเล็กตั้งอยู่ประปราย ผู้คนในประเทศเล็กๆนี้ยังคงเป็นมิตรกับผู้เดินทาง

เด็กหนุ่มลงจากหลังม้าสาว จูงนางไปยังคอกพัก จากนั้นจึงแบกสัมภาระของทั้งตนและผู้ว่าจ้าง ตรงเข้าไปยังเรือนพักแรมขนาดกลาง ในเมืองหนึ่งเขตชายแดนโคมิเน่ รอสส์พักอยู่ห้องหนึ่ง แยกให้เด็กสาวพักอีกห้อง ราคาค่าห้องและอาหารของที่นี่ไม่สูงมากนัก ถือว่าอยู่สบายและเพียบพร้อมพอควร เมื่อเทียบกับวันก่อนในเมืองหลวงโคมิเน่

พรุ่งนี้จึงจะเข้าเขตคาโนวาล พื้นที่ทางฝั่งตะวันตกส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม การสัญจรน่าจะยังง่าย...หากรวมเวลาท่องเที่ยวระหว่างทาง อาจใช้เวลาสามหรือสี่วัน กว่าจะเข้าสู่จักรวรรดิเวนอล

รอสส์ไม่คุ้นชินกับการเดินทางบริเวณนี้ พื้นที่ใต้ต่อเทือกเขาทอดยาวเขตเซย์โลไนต์ในเวนอลนั้น ไม่ว่ามากี่ครั้งก็ยังรู้สึกแปลกใหม่ เขาอาจทราบเส้นทาง ทราบที่พักคอกม้ากองทหารของตนในเมืองใหญ่ แต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญขนาดจะรู้ว่าในแต่ละเมืองจะมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอะไร

ตะเกียงอ่อนแสงวูบดับลงแม้ไร้แรงลม

เด็กหนุ่มล้มตัวลงนอน เขายังลืมตาอยู่ เฝ้ามองกลุ่มควันในตะเกียงที่ลอยอ้อยอิ่งอย่างเชื่องช้า

ปกติแล้ว ทหารรับจ้างจะมุ่งทำแต่งาน เมื่อภารกิจสำเร็จ ก็แวะพักผ่อนเพียงเล็กน้อย ก่อนจะกลับสู่ฐานที่มั่น หรือรับงานต่อไป...ไม่ค่อยได้ท่องเที่ยวชื่นชมความงดงาม ศิลปะ วัฒนธรรม ของสถานที่ผ่านทางสักเท่าใด

สำหรับโคร่า คราวลีย์ การเดินทางครั้งนี้คงเป็นประสบการณ์แปลกใหม่

แต่ไม่แน่ใจว่าเธอจะรู้หรือไม่...สำหรับทหารรับจ้าง การท่องเที่ยวไปในเมืองต่างๆ ก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ไม่ต่างกัน

------







A long winter journey.



1. Kanoval - Swords of bravery [1] [2]
2. Venol - Tales of the Light [1] [2] [3]
3. -pending-

[ToB] Swords of bravery [1]


Swords of bravery [1]



(เหตุการณ์ในช่วงปิดเทอม ก่อนขึ้นชั้นปีที่ 2)


ตัวละครในตอนนี้:
รอสส์ เอวาริสเต ทหารรับจ้างแห่งแอเรียส [-]
โคร่า คราวลีย์ นักกายกรรมแห่งแอเรียส [-]

------


“คุณน้าคะ! คุณน้า!”

เด็กสาวในชุดเดินทางรัดกุม ร้องทักชายอายุราวสี่สิบปลายๆคนหนึ่งที่ขี่ม้าร่วมทางเดียวกันมาสักพักให้หันมามองอย่างงุนงง ผิวของชายผู้นั้นสีเข้ม ดวงตาสีอ่อน ร่างกายสูงใหญ่ เหมือนเป็นชาวคาโนวาลโดยกำเนิด ริ้วรอยที่ปรากฏฉายแววของความใจดีและใจเย็น ทว่ามีเค้าของความเป็นนักรบในอดีตที่ไม่จางหายไป

ข้างหน้าคนเยอะจัง แถวนี้มีงานอะไรหรือเปล่าคะ”

ชายวัยกลางคนมองท่าทางของผู้ถาม ก่อนจะเหลือบมองเด็กหนุ่มอีกคนที่มาด้วยกันกับเธอ พลันก็ขยับยิ้มที่มุมปาก เหมือนกับเข้าใจอะไรบางอย่าง

“มีสิ งานประลองน่ะ” เขาตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “พ้นฤดูเก็บเกี่ยวไป กีส์เลนก็กลายเป็นสนามประลองไปเกือบทั้งเขต...เมืองข้างหน้าก็คงจะมี ถ้าว่างๆข้าก็ว่าจะลองไปดู”

เขตตะวันตกของคาโนวาล นับตั้งแต่กีส์เลนเป็นต้นมา คือเขตเกษตรกรรมอันอุดมสมบูรณ์ พื้นที่ราบลุ่มแถบนี้เขียวชอุ่มเกือบตลอดปี สร้างผลิตผลหล่อเลี้ยงทั่วทั้งประเทศอันกว้างใหญ่ แม้จะมีหลายส่วนที่ประกอบด้วยภูมิประเทศอันโหดร้าย ดินแดนแห่งนักรบที่เต็มไปด้วยผู้กล้าจึงไม่เคยขาดแคลนสิ่งใดเลย 

ช่วงนี้เข้าสู่ฤดูหนาว พื้นที่สีเขียวเริ่มแล้งและหนาวเย็น แม้อากาศจะไม่ทารุณเท่ากับประเทศทางเหนือ แต่ก็ไม่สามารถเพาะปลูกอะไรได้มากอย่างฤดูอื่น...เขตตะวันตกนี้จึงกลายเป็นดินแดนแห่งนักรบ เหมือนกับส่วนอื่นของคาโนวาล

และเพราะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ เป็นเส้นทางสัญจร จัดงานประลองไม่บ่อยครั้ง ของรางวัลในเขตนี้จึงล่อตาล่อใจมากเป็นพิเศษ

เด็กสาวเหลือบมองคนที่มาด้วยกัน “รอสส์จะไปไหม…”

ทว่าสายตาของเด็กหนุ่มที่ชื่อรอสส์ล่วงหน้าไปไกล

โคร่าไม่ได้เห็นรอยยิ้มที่ดูกระตือรือร้นของรอสส์มานานแล้ว นับตั้งแต่ที่เขาพลาดถูกดาบของเพื่อนจนบาดเจ็บในคาบเรียนวิชาศาสตรา เด็กหนุ่มก็ดูซึมเซาและนิ่งไป พูดน้อยลง ร่าเริงน้อยลง ราวกับจมดิ่งในห้วงความคิดอย่างที่ไม่เคยเป็น

เสี้ยวหน้าของทหารรับจ้างแห่งแอเรียสที่เธอเห็น ฉายชัดถึงความสนใจ...สนุกสนาน...ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัว และหันกลับมาสบตาเด็กสาว

“โคร่าอยากไปดูมั้ยล่ะ?”

“ก็…” ไม่ได้อยากเท่าไหร่หรอก แต่เห็นท่าทางของอีกคนแล้ว… “มาคาโนวาลแดนนักรบทั้งที...ลองไปดูสักครั้งก็ไม่เสียหาย”

โคร่าส่งยิ้มหวานให้กับเด็กหนุ่มที่พยักหน้าตอบ ก่อนจะไล่สายตาไปยังชายคนที่เธอถามเมื่อครู่ “แล้วคุณน้าล่ะคะ ไปด้วยกันไหม”

“ไม่ล่ะ…” ชายวัยกลางคนหัวเราะเบา พลางส่ายหน้า “พอดียังไม่ว่าง ต้องรีบกลับบ้าน งานประลองพวกนี้คงไว้ทีหลัง”

“ถ้างั้น...โชคดีนะคะ!”

เด็กสาวโบกมือเมื่อมาถึงทางแยก กระชับหมวกคลุมตัดเย็บจากผ้าผืนหนาเนื้อดี บังคับม้าให้เข้าใกล้กับรอสส์ ค่อยเคลื่อนไปตามทางซึ่งเปลี่ยนจากทางดินเรียบเป็นถนนปูด้วยหินทอดยาว บรรจบกับถนนเลียบริมแม่น้ำที่ใช้เป็นคูเมืองธรรมชาติ ข้ามเหนือสะพานกล มุ่งตรงสู่ประตูเมืองที่เป็นเพียงช่องเล็กๆระหว่างกำแพงหินสูงหนาดูทึบทึม

ทั้งสองควบม้าช้าๆ ตามถนนซึ่งมุ่งตรงสู่จัตุรัสใจกลางเมือง ผ่านตรอกและร้านค้าค่อนข้างสงบเงียบอย่างชนบท ทว่าบริเวณกลางเมืองกลับมีผู้คนอยู่มาก ส่วนใหญ่ดูเป็นนักรบกับผู้ติดตาม บ้างก็ดูเหมือนผู้เดินทาง หรือนักแสดงที่ท่องเที่ยวไปตามเมืองต่างๆ บางคนในนั้นเริ่มออกจากเขตจัตุรัส เข้าสู่ถนนสายหนึ่งมากเป็นพิเศษ ราวกับมุ่งไปที่ไหนสักแห่ง

รอสส์ลงจากหลังม้า เขาฝากลิส ม้าสาวไว้กับคนที่มาด้วยกัน อาสาเดินฝ่าเข้าไปสอบถามรายละเอียด ก่อนจะกลับมาบอกข่าวที่ทราบมา

งานประลองกำลังจะเริ่มในอีกหนึ่งชั่วโมง ณ ลานต่อสู้ข้างปราสาท

ของรางวัล คือ ทองคำ...มากพอให้ชาวบ้านคนหนึ่งมีกินมีใช้ไปหลายเดือนทีเดียว

------


เด็กหนุ่มร่างสูงนั่งเท้าคางจากอัฒจันทร์ มองนักรบในสนามที่เข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือด หนึ่งในนั้นใช้ทวนยาวเป็นอาวุธ จึงใช้ความได้เปรียบทางระยะทางปัดป้องจนกระทั่งอีกฝ่ายไม่อาจเข้าถึงตัว ขณะที่คู่ต่อสู้ใช้ดาบธรรมดา เวลาส่วนใหญ่ในการประลองจึงเสียไปกับการหมุนวนรอบตัวของนักรบที่ใช้ทวน โดยที่หาจังหวะเข้าโจมตีไม่ได้เลย

“เข้าไปสิวะ…” รู้สึกขัดใจกับการกระทำของคนในสนาม จนอดสบถพึมพำกับตัวเองไม่ได้ คิ้วเข้มเคลื่อนเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ พลางถอนหายใจหนักหน่วงกับทุกการเคลื่อนไหวของนักรบทั้งสอง ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ ไม่ใช่เพียงผู้ชมนอกลานประลอง

เสียงเฮลั่นสนามเมื่อนักดาบที่อยู่รอบนอกมาโดยตลอดกระโดดขึ้นเหยียบบนไม้ทวน คันด้ามยาวถูกชักเข้าหาตัวและเหวี่ยงสะบัด ทว่านั่นก็ทำให้นักดาบใช้เป็นหลัก กระโจนพุ่งตรงเข้าใส่นักรบที่ชักดาบคู่กายอีกเล่มออกมารับแทบไม่ทัน

โลหะปะทะโลหะ คนปะทะคน อากาศหนาวเย็นถูกแทนที่ด้วยความร้อนระอุของกำลังกาย

ในที่สุดนักรบที่ใช้ทวนก็เอาชนะนักดาบได้ด้วยพละกำลังและความอดทนที่มากกว่า การฝึกฝนทางกายมีค่าอย่างนี้...ทำให้ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีได้โดยไม่ถูกลดทอนด้วยความเหน็ดเหนื่อยจนพลาดท่า

คู่ต่อไปเป็นนักดาบสองคน คนหนึ่งดูเหมือนเป็นชาวคาโนวาล อีกคนดูเหมือนจะเดินทางมาจากประเทศทางใต้ ด้วยสีผิวและการแต่งกายที่แตกต่างจากคนท้องถิ่น

“สนใจเหรอ”

เสียงเด็กสาวที่ทักขึ้นเรียกสติให้กลับคืนมา รอสส์หันมองเธอ เห็นรอยยิ้มที่ราวกับจะรู้ทัน พลันก็หัวเราะในลำคอ

“อาจจะเพราะไม่เหมือนกับที่เคยเจอมาเท่าไหร่” คำตอบอาจดูไม่ตรงคำถามเท่าใด เขาขยับมือเท้าคางกับเข่า ทอดสายตามองคนข้างตัว “ค่อนข้างมี...แบบแผน...” ยิ้มขำขัน “ดูมีเกียรติ”

ร่างบางขยับเข้าใกล้ พึมพำแค่พอให้ได้ยิน “ต่างกันตรงมีเกียรติกับไร้เกียรติ?”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” รอสส์ยอมรับ “แต่ไอ้ที่ไร้เกียรติอย่างที่ฉันเจอมา เธอคงไม่ค่อยอยากดูมันหรอก...”

ทหารรับจ้างเริ่มเข้าใจการประลองของคาโนวาลขึ้นมาบ้าง...การประลองอันมีเกียรติ ไม่มุ่งหวังเชือดเฉือนเอาชีวิต ไม่ใช้วิธีการตอบโต้ลับหลังหรือกลยุทธ์ใดนอกเหนือจากวิถีศาสตรา แม้จะมีของรางวัลเป็นเดิมพัน แต่จุดมุ่งหมายแท้จริงในการต่อสู้ของคนเหล่านี้ไม่ใช่รางวัล เป็นการได้พิสูจน์ฝีมือ ได้แลกเปลี่ยนทักษะการต่อสู้กับผู้อื่นต่างหาก ที่ดึงดูดนักสู้ทุกคนมารวมกัน

พวกเขานั่งอยู่อย่างนั้นจนตะวันเคลื่อนคล้อย ในที่สุดโคร่าก็ออกปากขอตัวออกไปเดินเล่นสูดอากาศ เด็กหนุ่มจึงละสายตาจากสนาม เดินเบียดผู้คนรอบตัวออกไปพร้อมกัน...ถึงแม้จะลอบชำเลืองเหลือบมองวิธีการต่อสู้ของนักรบในการประลองอยู่เป็นระยะก็ตาม

“เบื่อเหรอ” เขากระซิบถามยิ้มๆ โอบบ่านั้นไว้หลวมๆ ขณะใช้ร่างที่สูงกว่าของตนเบิกทางให้อีกคนเดินต่อสะดวกขึ้น

โคร่านิ่งไปสักพัก เธอยังไม่พูดอะไร จนกระทั่งก้าวพ้นออกจากเขตอัฒจันทร์สนามประลองมายืนอยู่ริมกำแพงสูง เด็กสาวเอนพิงหลังกับผนัง เธอจรดมือเข้าด้วยกัน ถูมันเล็กน้อยเพิ่มความอบอุ่น ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตาทหารรับจ้างที่ยืนอยู่ข้างกัน

“เรียกว่า...ไม่มีความสนใจด้านนี้มากกว่าน่ะ” ริมฝีปากเม้มลง คลี่ยิ้มน้อยๆ “แต่ถ้ารอสส์สนใจก็อยู่ดูต่อเถอะ”

เด็กหนุ่มมองตา รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนยิ่งนัก

“ฉันสนใจเธอมากกว่า...”

คำบางคำก็ไวกว่าความคิด

นัยน์ตาของทหารรับจ้างสบตรงมา สื่อทุกสิ่งให้เธอรู้...ท่าทางนิ่งค้างเหมือนทำอะไรไม่ถูก กับสีหน้ากึ่งๆ ตกใจกับคำพูดตนเอง นั้นชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งที่เขาพูดออกมา...แต่ครั้นเด็กหนุ่มไม่อธิบาย หรือแสดงท่าทีอะไรต่อ โคร่าจึงคลี่ยิ้มขำขัน

“มาสนใจอะไร...ฉันไม่ใช่นักแสดงสักหน่อย”

รอสส์เบือนหน้าไปทางอื่น ผิวขาวขึ้นสีเรื่อเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นขัดความเงียบ “แถวนี้มีงานเทศกาลอยู่ น่าจะมีอะไร ถ้ารอเลิกงานประลองคนคงเยอะน่าดู…” นัยน์ตาสีเขียวปนเทาคู่นั้นเคลื่อนกลับมามองหน้าเธอ “ไปเที่ยวดูด้วยกันไหม?”

“เห็นป้ายประกาศอยู่เหมือนกัน” เด็กสาวพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกว้าง “ไปสิ”

เสียงกระพรวนจากกำไลข้อเท้าดังกรุ๊งกริ๊งเมื่อเธอเดินกึ่งก้าวกระโดดไปทางงานเทศกาล ร้านค้าที่จัดอยู่ประดับประดาด้วยผ้าและกระดาษสีสันสดใส แสงจากแก้วและเปลวเทียนระยิบระยับวับวาม สายลมที่เคยพัดแรงบนอัฒจันทร์ค่อยเอื่อยลงจากอาคารที่ขวางกั้น ถนนสีหม่นที่ทอดยาวตรงหน้ามีแต่ความสนุกสนานรื่นเริง

รอสส์หันมองสองข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ สองมือล้วงกระเป๋า สาวเท้ารวดเร็วตามคนตัวเล็กกว่าที่คล่องแคล่วว่องไวเหลือเกิน...มีร้านขายเครื่องประดับรูปลักษณ์แปลกตาอยู่ประปราย หลายร้านในนั้นเป็นแนวชิงโชคล่าของรางวัล บางครั้งต้องใช้ความสามารถเล็กน้อยจึงจะได้มา

เด็กสาวเคลื่อนหมวกคลุมออก เรือนผมสุกสว่างเป็นทรงสวย เธอหันมองร้านหนึ่งอยู่นาน...นานจนทหารรับจ้างสังเกตเห็น และมองตรงไป

ของรางวัลในร้านนั้นคือตุ๊กตา...ตุ๊กตาที่ตัดเย็บจากผ้าเนื้อดีเป็นรูปร่างของเด็กผู้หญิง ดูเพรียวบางและงามสง่า สวมชุดเต้นรำพื้นเมือง ประดับประดาเครื่องประดับมากมาย เส้นผมของตุ๊กตานั้นประดิษฐ์จากไหมหนาสีบลอนด์สว่าง ผลึกแก้วสีอะเมธิสต์ฝังอยู่แทนดวงตา

รอสส์ขยับยิ้ม เขาไม่เอ่ยถามเด็กสาว แต่ก้าวเข้าไปบอกเจ้าของร้าน ว่าตนอยากจะลองเล่น ‘เกม’ ดูสักหน่อย

เด็กหนุ่มเพ่งมองยังเป้าหมาย มือกระชับด้ามมีดด้วยท่าทางอันคุ้นเคย...เขาไม่ใช่คนช่างจินตนาการ ไม่ได้คิดว่ากระดานแผ่นนั้นเป็นใครหรืออะไร...เพียงแต่รู้ถึงสิ่งที่ตนต้องทำ

ก็แค่ต้องให้มีดถูกกลางเป้า

ไม่มีการต่อรอง ไม่มีทางเลือกอื่นทั้งนั้น

ไม่มีคำว่าทำไม่ได้

โลหะแผ่นบางเสียบเข้าที่กลางกระดานแผ่นหนา ตรงตำแหน่งของหัวใจภาพคนที่ร่างไว้เป็นกรอบด้วยหมึกดำ

รอสส์ร้องตะโกน กำมือแน่นกับชัยชนะ เขายิ้มกว้าง ปราดตรงไปหาเจ้าของร้านที่อุ้มตุ๊กตาตัวนั้นมาไว้ในอ้อมแขนของเด็กหนุ่ม มือแกร่งที่ด้านหยาบจากการจับอาวุธประคองตุ๊กตานั้นไว้อย่างทะนุถนอม ไม่ให้บอบช้ำหรือเปรอะเปื้อนใดๆ

“โคร่า” ทหารรับจ้างร้องเรียกเด็กสาวที่ย่อตัวลงดูเครื่องประดับร้านใกล้เคียง เธอยืนขึ้น หันมองอย่างแปลกใจ ก่อนจะสังเกตเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของอีกคน

รอสส์พูดติดจะหยอก “มีสาวน้อยคนหนึ่งอยากไปอยู่ด้วยน่ะ ฉันเลยพามาหา”

นักกายกรรมแห่งแอเรียสรู้สึกเหมือนกับมองเห็นตัวเอง

มือบางที่ทุ่มเทกับการฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงพอจะร่ายรำสร้างความงดงาม ค่อยเอื้อมมาตรงหน้า...รับเอาร่างที่บอบบาง ปราศจากชีวิตและจิตวิญญาณ ทว่างดงามและมีความหมาย เอาไว้ในอ้อมแขนของตน

“ขอบคุณนะ”

นัยน์ตาสีอะเมธิสต์มองตรงยังเด็กหนุ่มร่างสูงที่สวมชุดรัดกุมตลอดร่าง เขาสบตาเธอ จริงจังยิ่งนักกับทุกคำพูด...แววตาของเขาไม่เคยโกหกเลยตั้งแต่รู้จักกันมา

เด็กสาวจึงคลี่ยิ้ม อย่างซื่อตรง...และงดงาม

------


[To be continued...]